Kaspersky Standard | Plus | Premium

สารบัญ

ความเป็นส่วนตัว

ทุกวันนี้มีการละเมิดข้อมูลเป็นจำนวนมาก นักการตลาดสามารถติดตามทุกก้าวย่างของคุณได้ทางออนไลน์ — ความรำคาญทางดิจิทัลยังคงมีอยู่อย่างไม่รู้จบ การรักษาความเป็นส่วนตัวของคุณจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เรียนรู้วิธีที่แอปพลิเคชัน Kaspersky ปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณทางออนไลน์ เพื่อให้คุณสามารถจัดการและควบคุมรอยเท้าดิจิทัลของคุณได้

ในส่วนนี้

Kaspersky VPN

Caller ID

ตัวตรวจสอบบัญชี

การเรียกดูส่วนตัว

Password Manager

Safe Money

การควบคุมเว็บแคมและไมโครโฟน

การตรวจจับ Stalkerware และแอปพลิเคชันอื่น

ป้องกันแบนเนอร์

ตัวบล็อกการติดตั้งแอปที่ไม่ต้องการ

วิธีการเปลี่ยนการตั้งค่าตัวจัดการแอปพลิเคชัน

ตัวลบ Adware

ที่เก็บนิรภัย

File Shredder

ตัวทำความสะอาดข้อมูลส่วนตัว

การป้องกันโดยใช้การเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์

การป้องกันข้อมูลส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ต

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 226949]

Kaspersky VPN

ฟังก์ชัน Kaspersky VPN ไม่สามารถใช้งานได้ในบางภูมิภาค

สามารถเลือกใช้งานได้เฉพาะใน Kaspersky Plus และ Kaspersky Premium เท่านั้น

การเชื่อมต่อ VPN ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ Kaspersky VPN Secure Connection ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสมัครสมาชิก Kaspersky Plus คุณสามารถเริ่ม Kaspersky VPN Secure Connection จากเมนู เริ่ม (ในระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows 7 หรือเวอร์ชันที่เก่ากว่า) จากหน้าจอเริ่มต้น (ในระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows 8 หรือเวอร์ชันที่ใหม่กว่า) หรือจากหน้าต่างแอปพลิเคชัน Kaspersky

ในการเริ่ม Kaspersky VPN Secure Connection จากหน้าต่างแอปพลิเคชัน Kaspersky

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. ในบล็อก Kaspersky VPN คลิกที่ปุ่ม ใช้งาน

ซึ่งจะเปิดหน้าต่างหลักของ Kaspersky VPN Secure Connection

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงานของ Kaspersky VPN Secure Connection สามารถดูได้ใน ไฟล์ช่วยเหลือของแอปพลิเคชันนี้

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 127185]

Caller ID

Kaspersky Who Calls มีจำหน่ายในรัสเซีย อินโดนีเซีย และคาซัคสถานในรูปแบบผลิตภัณฑ์ต่างหาก ในรัสเซีย แอปพลิเคชันสามารถเลือกใช้งานได้โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Kaspersky Plus และ Kaspersky Premium

ส่วนประกอบ ID ผู้โทรสามารถบอกคุณได้ว่าใครโทรมาจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก แล้วก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะรับสายหรือไม่ หมายเลขโทรศัพท์จะถูกตรวจสอบกับฐานข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ของแอป Kaspersky Who Calls หากพบหมายเลขในฐานข้อมูล หน้าจอสายเรียกเข้าจะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับหมายเลขนั้น รวมถึงชื่อขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับหมายเลข หมวดหมู่ขององค์กร และผู้โทรถือเป็นสแปมเมอร์หรือสายนี้อาจมีประโยชน์หรือไม่

Kaspersky Who Calls ยังรองรับ ID ผู้โทรสำหรับสายเรียกเข้าใน WhatsApp

คุณสามารถกำหนดค่าการโทรสแปมทั้งหมดหรือหมวดหมู่การโทรสแปมที่ต้องการให้บล็อกได้ตลอดเวลา ต่อจากนั้น สายเรียกเข้าที่เป็นสแปมทั้งหมดจะถูกซ่อนโดยอัตโนมัติ

หากต้องการใช้ Caller ID คุณต้องดาวน์โหลดและติดตั้งแอป Kaspersky Who Calls สำหรับ Android หรือ iOS

หากคุณซื้อการบอกรับเป็นสมัครสมาชิกของ Kaspersky หรือแอป Kaspersky Who Calls แบบต่างหากสำหรับอุปกรณ์เดียวเท่านั้น และได้เปิดใช้งานบนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Microsoft Windows แอปจะไม่สามารถใช้งานได้ หากต้องการเข้าถึง Kaspersky Who Calls คุณจะต้องเปิดใช้งานการบอกรับเป็นสมาชิกบนอุปกรณ์มือถือหรือเพิ่มอุปกรณ์ในการบอกรับเป็นสมาชิกของคุณ

วิธีการดาวน์โหลดและติดตั้ง Kaspersky Who Calls

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. ในบล็อก Caller ID คลิกที่ปุ่ม Install mobile app
  4. ในหน้าต่าง Caller ID คลิกปุ่ม Install using QR code
  5. ในหน้าต่าง ป้องกันอุปกรณ์เพิ่มเติม เลือกหนึ่งในตัวเลือกต่อไปนี้:
    • สแกนคิวอาร์โค้ด

      บนแท็บ รหัส QR ให้หันกล้องโทรศัพท์ของคุณไปที่โค้ด QR

      อุปกรณ์มือถือของคุณจะเปิดร้านค้าออนไลน์ในหน้าดาวน์โหลดสำหรับ แอป Kaspersky Who Calls

    • ส่งลิงก์โดยอีเมล
      1. ไปที่แท็บ โดยอีเมล
      2. คลิกที่ลิงก์

        วิธีนี้จะเปิดหน้าลงชื่อเข้าใช้ My Kaspersky ในหน้าต่างเบราเซอร์เริ่มต้นของคุณ

      3. ในหน้าต่าง ส่งโดยอีเมล ให้ป้อนที่อยู่อีเมลในกล่องข้อความแล้วคลิก ส่ง
      4. ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันตามลิงก์ดังกล่าวในอีเมล

        หลังจากดาวน์โหลดและติดตั้ง Kaspersky Who Calls แล้ว คุณจะสามารถรู้ได้ว่าใครโทรมาจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก

    ดู ความช่วยเหลือ Kaspersky Who Calls สำหรับคำแนะนำการใช้ Kaspersky Who Calls

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 240755][Topic 156401]

เกี่ยวกับตัวตรวจสอบบัญชี

การตรวจสอบบัญชีผู้ใช้ My Kaspersky และบัญชีอื่นๆ โดยอัตโนมัติสามารถเลือกใช้งานได้ในแผน Kaspersky Plus และ Kaspersky Premium เท่านั้น แผนอื่นของ Kaspersky ทำให้คุณสามารถตรวจสอบบัญชี My Kaspersky ด้วยตนเองเท่านั้น

ผู้ใช้ส่วนใหญ่สร้างบัญชีผู้ใช้บนเว็บไซต์ที่หลากหลายเพื่อวัตถุประสงค์การทำงาน ซื้อสินค้า และการติดต่อสื่อสาร ซึ่งมีความเสี่ยงที่ผู้โจมตีจะสามารถแฮกไซต์และเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ได้เสมอ หากคุณใช้ที่อยู่อีเมลและรหัสผ่านของคุณสำหรับไซต์ที่ต่างกัน อาจเป็นไปได้ว่าข้อมูลของคุณอาจรั่วไหล

ด้วยแอปพลิเคชัน Kaspersky คุณจะสามารถ ตรวจสอบ บัญชีผู้ใช้ของคุณสำหรับการรั่วไหลที่อาจเกิดขึ้นได้ หากการตรวจสอบระบุว่าข้อมูลของคุณอาจเข้าถึงได้แบบสาธารณะ แอปพลิเคชันจะแจ้งเตือนคุณและแสดงรายการของไซต์ซึ่งอาจเกิดข้อมูลรั่ว วันที่ของการรั่วไหลที่อาจเกิดขึ้น และประเภทของข้อมูลเข้าถึงได้แบบสาธารณะ

แอปพลิเคชัน Kaspersky ยังตรวจสอบบัญชีผู้ใช้ของคุณเพื่อดูการรั่วไหลของข้อมูลไปยังดาร์กเน็ต หากพบการรั่วไหล แอปพลิเคชันจะเตือนเรื่องนี้ให้คุณทราบ

เมื่อตรวจสอบบัญชีผู้ใช้ Kaspersky ไม่เรียกใช้ข้อมูลในรูปแบบข้อความธรรมดา และจะใช้สำหรับการตรวจสอบที่ระบุเท่านั้นโดยไม่จัดเก็บไว้ ในการตรวจหาการรั่วไหลแอปพลิเคชัน Kaspersky ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ แต่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับหมวดหมู่ของข้อมูลที่อาจเข้าถึงได้แบบสาธารณะเท่านั้น

แอปพลิเคชัน Kaspersky สามารถแจ้งเตือนคุณถึงการรั่วไหลของข้อมูลหมวดหมู่ต่อไปนี้:

  • ข้อมูลส่วนตัว: ตัวอย่างเช่น ข้อมูลหนังสือเดินทาง ข้อมูลชีวมาตร ข้อมูลเกี่ยวกับอายุ
  • ข้อมูลทางธนาคาร: ตัวอย่างเช่น หมายเลขบัตรเครดิตและบัญชีธนาคาร ข้อมูลเกี่ยวกับวงเงินในบัตรเครดิตและบัญชีธนาคาร
  • ประวัติกิจกรรม: ตัวอย่างเช่น โทเค็นการรับรองความถูกต้อง ประวัติรหัสผ่าน

ตามค่าเริ่มต้น แอปพลิเคชัน Kaspersky จะพยายามตรวจสอบบัญชีผู้ใช้ของคุณเมื่อคุณอนุญาตบนเว็บไซต์เฉพาะ ระหว่างการอนุญาต ที่อยู่อีเมลของคุณที่ใช้ลงชื่อเข้าใช้เว็บไซต์จะถูกเข้ารหัสและถูกส่งต่อไปยังคลาวด KSN หากการตรวจสอบระบุว่าข้อมูลของคุณอาจเข้าถึงได้แบบสาธารณะ คุณจะได้รับการแจ้งเตือนที่เหมาะสม คุณสามารถ ปิดใช้ตัวตรวจสอบบัญชี ได้

คุณสามารถเพิ่มได้มากถึง 50 บัญชีผู้ใช้เพื่อการตรวจสอบโดยอัตโนมัติ รายการของบัญชีผู้ใช้ใน แอปพลิเคชัน Kaspersky จะไม่เชื่อมโยงกันระหว่างอุปกรณ์ บัญชีผู้ใช้ที่เพิ่มสามารถตรวจสอบได้วันละครั้ง

การเพิ่มบัญชีไปในรายการเพื่อให้ตรวจสอบโดยอัตโนมัติอาจไม่มีในภูมิภาคของคุณ

แอปพลิเคชัน Kaspersky จะคอยตรวจสอบที่อยู่อีเมลที่เชื่อมโยงกับบัญชี My Kaspersky ของคุณ การตรวจสอบครั้งแรกจะดำเนินการใน 48 ชั่วโมงหลังจากการติดตั้ง Kaspersky การตรวจสอบเพิ่มเติมจะดำเนินการทุก 24 ชั่วโมง

ตัวตรวจสอบบัญชีสำหรับบัญชีผู้ใช้ My Kaspersky จะไม่ทำงานหากแอปพลิเคชัน Kaspersky ไม่ได้เชื่อมต่อกับ My Kaspersky หรือไม่ได้ป้อนรหัสผ่านบัญชีผู้ใช้ My Kaspersky ในแอปพลิเคชัน

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 153899]

วิธีเปิดใช้งานหรือปิดใช้ตัวตรวจสอบบัญชี

วิธีเปิดหรือปิดใช้งานการตรวจสอบบัญชีผู้ใช้:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. เลือกส่วนความเป็นส่วนตัว
  3. ในบล็อก ตัวตรวจสอบบัญชี คลิกที่ปุ่ม ค้นหาการรั่วไหล

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง ตัวตรวจสอบบัญชี

  4. ใช้สวิตช์สลับเพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้ส่วนประกอบตัวตรวจสอบบัญชี
ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 156403]

วิธีการตรวจสอบว่าข้อมูลของคุณเข้าถึงได้แบบสาธารณะหรือไม่

การตรวจสอบว่าข้อมูลของคุณเข้าถึงได้แบบสาธารณะหรือไม่:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. เลือกส่วนความเป็นส่วนตัว
  3. ในบล็อก ตัวตรวจสอบบัญชี คลิกที่ปุ่ม ค้นหาการรั่วไหล

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง ตัวตรวจสอบบัญชี

  4. ระบุที่อยู่อีเมลของคุณในช่องและคลิกปุ่ม ตรวจสอบ

    แอปพลิเคชัน Kaspersky เริ่มตรวจสอบที่อยู่ที่ระบุ หากการตรวจสอบระบุว่าข้อมูลของคุณอาจเข้าถึงได้แบบสาธารณะ แอปพลิเคชันจะแจ้งเตือนคุณและแสดงรายการของไซต์ซึ่งอาจเกิดข้อมูลรั่ว วันที่ของการรั่วไหลที่อาจเกิดขึ้น และประเภทของข้อมูลเข้าถึงได้แบบสาธารณะ การคลิกลิงก์หมวดหมู่ข้อมูลจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการลดผลกระทบจากการรั่วไหลของข้อมูลนี้

    แอปพลิเคชัน Kaspersky ให้คุณสามารถตรวจสอบการรั่วไหลที่อาจเกิดขึ้นไม่เพียงข้อมูลของคุณเอง แต่จากบัญชีผู้ใช้อื่นด้วย เช่น เพื่อนและครอบครัวของคุณ

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 156404]

วิธีการสร้างรายการของบัญชีสำหรับการตรวจสอบอัตโนมัติ

เพื่อสร้างรายการของบัญชีสำหรับการตรวจสอบอัตโนมัติ:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. เลือกส่วนความเป็นส่วนตัว
  3. ในบล็อก ตัวตรวจสอบบัญชี คลิกที่ปุ่ม ค้นหาการรั่วไหล

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง ตัวตรวจสอบบัญชี

  4. ไปที่แท็บ บัญชีผู้ใช้ และป้อนที่อยู่อีเมลของบัญชีผู้ใช้ที่คุณต้องการเพิ่มไปยังรายการสำหรับการตรวจสอบอัตโนมัติในช่อง ตรวจสอบบัญชีผู้ใช้เพิ่มเติม จากนั้นคลิกที่ปุ่ม ตรวจสอบ

    บัญชีผู้ใช้ที่คุณเพิ่มจะแสดงในรายการ บัญชีผู้ใช้

  5. แท็บ ประวัติ จะแสดงความพยายามทั้งหมดเมื่อมีการใช้บัญชีที่ระบุเพื่อเข้าสู่ไซต์และได้รับการตรวจสอบ

การเพิ่มบัญชีไปในรายการเพื่อให้ตรวจสอบโดยอัตโนมัติอาจไม่มีในภูมิภาคของคุณ

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 183770][Topic 92436]

เกี่ยวกับการเรียกดูส่วนตัว

สามารถเลือกใช้งานได้เฉพาะใน Kaspersky Standard, Kaspersky Plus และ Kaspersky Premium เท่านั้น

บางเว็บไซต์ใช้บริการติดตามเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมทางอินเทอร์เน็ตของคุณ จากนั้นระบบจะวิเคราะห์และใช้ข้อมูลนี้เพื่อแสดงโฆษณาให้คุณรับชม

ส่วนประกอบ การเรียกดูส่วนตัว ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมออนไลน์ของคุณ

ใน โหมดการตรวจจับ ส่วนประกอบการเรียกดูส่วนตัวจะตรวจจับและนับความพยายามในการรวบรวมข้อมูล และเขียนข้อมูลดังกล่าวนี้ใน รายงาน โหมดการตรวจจับถูกเปิดใช้ตามค่าเริ่มต้น และการรวบรวมข้อมูลจะ ได้รับอนุญาตในเว็บไซต์ทั้งหมด

ใน โหมดการบล็อก ส่วนประกอบการเรียกดูส่วนตัวจะตรวจจับและบล็อกความพยายามในการรวบรวมข้อมูล และข้อมูลเกี่ยวกับความพยายามดังกล่าวจะถูกเขียนลงใน รายงาน ในโหมดดังกล่าวนี้ ชุดข้อมูลจะถูกบล็อก ในเว็บไซต์ทั้งหมด ยกเว้น:

  • เพิ่มลงในข้อยกเว้น โดยเว็บไซต์
  • เว็บไซต์ของ Kaspersky และผู้จำหน่าย
  • โดยเว็บไซต์ที่อาจถูกทำให้ไม่สามารถปฏิบัติการได้เนื่องจากจากการวบรวมข้อมูลถูกบล็อก ตามที่ข้อมูลที่ให้ไว้กับ Kaspersky

ตัวนับของความพยายามในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกบล็อกจะแสดงจำนวนการบล็อกรวมบนเว็บไซต์ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่ามีหน้าเว็บไซต์เปิดอยู่ในเบราเซอร์กี่หน้า หากมีหน้าเว็บเปิดอยู่ในเบราเซอร์เพียงหนึ่งหน้า จะนับความพยายามในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกบล็อกบนหน้าเว็บของเว็บไซต์นี้เท่านั้น หากเปิดหน้าเว็บหลายหน้าบนเว็บไซต์เดียวกัน จะนับความพยายามในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกบล็อกบนหน้าเว็บทั้งหมดของเว็บไซต์ที่เปิดอยู่ในเบราเซอร์

คุณสามารถจัดการส่วนประกอบการเรียกดูส่วนตัวผ่านอินเทอร์เฟซของแอปพลิเคชัน Kaspersky หรือความช่วยเหลือของส่วนขยายของ Kaspersky Protection ใน เบราเซอร์ ของคุณ

การเรียกดูส่วนตัวมีการจำกัดดังต่อไปนี้:

  • แอปพลิเคชันไม่บล็อกการรวบรวมข้อมูลโดยบริการการติดตามของหมวดหมู่ “เครือข่ายสังคมออนไลน์” ในระหว่างที่คุณเปิดเว็บไซต์ของโซเชียลเน็ตเวิร์คที่เกี่ยวข้อง
  • หากไม่สามารถระบุหน้าเว็บที่เริ่มต้นความพยามยามในการรวบรวมข้อมูลได้ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะไม่บล็อกความพยายามนี้ และไม่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับความพยายามดังกล่าว
  • หากสามารถระบุหน้าเว็บที่เริ่มต้นความพยายามในการรวบรวมข้อมูลได้ แต่ไม่สามารถเชื่อมโยงกับหน้าเว็บที่กำลังเปิดอยู่ในเบราเซอร์ได้ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะประยุกต์การดำเนินการที่ระบุไว้ในการตั้งค่าการเรียกดูส่วนตัว (บล็อกหรืออนุญาตการรวบรวมข้อมูล) แอปพลิเคชันแสดงข้อมูลเกี่ยวกับความพยายามรวบรวมข้อมูลในรายงาน แต่ไม่รวมถึงข้อมูลในสถิติการเรียกดูส่วนตัวที่แสดงในเบราเซอร์

ตามค่าเริ่มต้น ส่วนประกอบจะถูกปิดใช้งาน

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 93724]

การบล็อกการรวบรวมข้อมูล

การบล็อกการรวบรวมข้อมูล:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. เลือกส่วนประกอบ การเรียกดูส่วนตัว แล้วคลิกไอคอน ปุ่มการตั้งค่า

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่าการเรียกดูส่วนตัว

  4. หากส่วนประกอบไม่ถูกเปิดใช้งาน ให้เปิดใช้งานโดยตั้งค่าปุ่มสลับในส่วนด้านบนของหน้าต่างเป็น เปิด
  5. เลือกตัวเลือก บล็อกชุดข้อมูล

    แอปพลิเคชัน Kaspersky จะบล็อกความพยายามในการรวบรวมข้อมูลในเว็บไซต์ทั้งหมดยกเว้น ข้อยกเว้น

  6. ถ้าคุณต้องการบล็อกหรืออนุญาตการรวบรวมข้อมูลโดยอ้างอิงจากหมวดหมู่ของบริการการติดตาม:
    1. คลิกที่ลิงก์ หมวดหมู่และข้อยกเว้น เพื่อเปิดหน้าต่าง หมวดหมู่และข้อยกเว้น
    2. ตามค่าเริ่มต้น การรวบรวมข้อมูลจะถูกบล็อกสำหรับหมวดหมู่ของบริการการติดตามและโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งหมด ล้างช่องทำเครื่องหมายที่อยู่ตรงข้ามหมวดหมู่ของบริการการติดตามและโซเชียลเน็ตเวิร์คที่คุณต้องการอนุญาต

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 93505]

การอนุญาตการรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์ทั้งหมด

การอนุญาตการรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์ทั้งหมด:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. เลือกส่วนประกอบ การเรียกดูส่วนตัว แล้วคลิกไอคอน ปุ่มการตั้งค่า

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่าการเรียกดูส่วนตัว

  4. หากส่วนประกอบไม่ถูกเปิดใช้งาน ให้เปิดใช้งานโดยตั้งค่าปุ่มสลับในส่วนด้านบนของหน้าต่างเป็น เปิด
  5. เลือกตัวเลือก รวบรวมสถิติเท่านั้น

    แอปพลิเคชัน Kaspersky จะตรวจหาและนับจำนวนความพยายามในการติดตามกิจกรรมออนไลน์ของคุณโดยไม่มีการบล็อก คุณสามารถดูผลลัพธ์การดำเนินงานของส่วนประกอบใน รายงาน

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 129231]

อนุญาตให้การรวบรวมข้อมูลเป็นข้อยกเว้น

คุณสามารถอนุญาตให้การติดตามกิจกรรมของคุณบนเว็บไซต์ที่ระบุไว้เป็นข้อยกเว้นได้

การอนุญาตให้การรวบรวมข้อมูลเป็นข้อยกเว้น:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. เลือกส่วนประกอบ การเรียกดูส่วนตัว แล้วคลิกไอคอน ปุ่มการตั้งค่า

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่าการเรียกดูส่วนตัว

  4. หากส่วนประกอบไม่ถูกเปิดใช้งาน ให้เปิดใช้งานโดยตั้งค่าปุ่มสลับในส่วนด้านบนของหน้าต่างเป็น เปิด
  5. เลือกตัวเลือก บล็อกชุดข้อมูล

    แอปพลิเคชัน Kaspersky จะบล็อกความพยายามในการรวบรวมข้อมูลในเว็บไซต์ทั้งหมดยกเว้นข้อยกเว้น

  6. ตามค่าเริ่มต้น อนุญาตการรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์ของ Kaspersky และผู้จำหน่ายมีข้อยกเว้น ถ้าคุณต้องการบล็อกการรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์เหล่านี้ ให้ล้างช่องทำเครื่องหมาย อนุญาตการเก็บรวบรวมชุดข้อมูลบนเว็บไซต์ของ Kaspersky และผู้จำหน่าย
  7. ตามค่าเริ่มต้น มีข้อยกเว้นการอนุญาตการรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์ซึ่งอาจไม่สามารถให้ข้อมูลได้เนื่องจากการรวบรวมข้อมูลถูกบล็อก ตามที่ข้อมูลซึ่งสามารถใช้งานได้ของ Kaspersky กำหนดไว้ ถ้าคุณต้องการบล็อกการรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์เหล่านี้ ให้ล้างช่องทำเครื่องหมาย อนุญาตการเก็บรวบรวมชุดข้อมูลบนเว็บไซต์ที่ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้

    Kaspersky จะอัปเดตรายการของเว็บไซต์ที่ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้เมื่อแก้ไขปัญหาความเข้ากันได้แล้ว

  8. ถ้าคุณต้องการระบุข้อยกเว้นของคุณ:
    1. คลิกที่ลิงก์ หมวดหมู่และข้อยกเว้น เพื่อเปิดหน้าต่าง หมวดหมู่และข้อยกเว้น
    2. คลิกที่ลิงก์ ข้อยกเว้น เพื่อเปิดหน้าต่าง ข้อยกเว้นของการเรียกดูส่วนตัว
    3. คลิกปุ่มเพิ่ม
    4. เมื่อหน้าต่างเปิดขึ้น ให้ป้อนที่อยู่ของเว็บไซต์ที่คุณต้องการอนุญาตการติดตามกิจกรรม และคลิกปุ่ม ตกลง

      เว็บไซต์ที่ระบุไว้ถูกเพิ่มแล้วในรายการข้อยกเว้น

คุณยังสามารถอนุญาตการรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์ที่ถูกเลือกในระหว่างที่เว็บไซต์ดังกล่าวเปิด ในเบราเซอร์

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 93506]

การดูรายงานความพยายามในการรวบรวมข้อมูลของคุณบนอินเทอร์เน็ต

ในการดูรายงานความพยายามในการรวบรวมข้อมูลของคุณบนอินเทอร์เน็ต:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. เลือกส่วนประกอบ การเรียกดูส่วนตัว แล้วคลิกไอคอน ปุ่มการตั้งค่า

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่าการเรียกดูส่วนตัว

    หากส่วนประกอบไม่ถูกเปิดใช้งาน ให้เปิดใช้งานโดยตั้งค่าปุ่มสลับในส่วนด้านบนของหน้าต่างเป็น เปิด

หน้าต่างจะแสดงรายงานรวมที่มีข้อมูลเกี่ยวกับความพยายามในการรวบรวมข้อมูลกิจกรรมออนไลน์ของคุณ

คุณยังสามารถดูรายงานความพยายามในการรวบรวมข้อมูลใน เบราเซอร์ หรือในรายงานประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 93501]

การจัดการส่วนประกอบการเรียกดูส่วนตัวในเบราเซอร์

คุณสามารถจัดการส่วนประกอบการเรียกดูส่วนตัวได้โดยตรงผ่านเบราเซอร์:

  • เปิดใช้งานส่วนประกอบถ้าถูกปิดใช้อยู่
  • ดูสถิติของการตรวจพบความพยายามในการรวบรวมข้อมูล
  • ไปที่หน้าต่างการตั้งค่าการเรียกดูส่วนตัว
  • บล็อกหรืออนุญาตการรวบรวมชุดข้อมูล

การจัดการส่วนประกอบการเรียกดูส่วนตัวในเบราเซอร์

คลิกปุ่ม Green shield with a white tick Kaspersky Protection บนแถบเครื่องมือของเบราเซอร์

เมนูที่เปิดขึ้นจะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของส่วนประกอบและการควบคุมส่วนประกอบ

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 93503][Topic 134549]

ตรวจสอบและจัดเก็บรหัสผ่านของคุณอย่างปลอดภัย

ขยายทั้งหมด | ยุบทั้งหมด

สามารถเลือกใช้งานได้เฉพาะใน Kaspersky Plus และ Kaspersky Premium เท่านั้น

หากคุณเป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นประจำ โดยปกติแล้วคุณต้องใช้รหัสผ่านที่แตกต่างกันจำนวนมาก เช่น เมื่อคุณเยี่ยมชมเว็บไซต์ของธนาคาร โซเชียลเน็ตเวิร์ค และบริการอีเมล การใช้รหัสผ่านจำนวนมากไม่สะดวกเนื่องจากคุณจำเป็นต้องจำรหัสผ่านที่คุณใช้บนเว็บไซต์ที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งบ่อยครั้งทำให้ผู้ใช้เลือกใช้วิธีการแก้ไขง่ายๆ โดยใช้รหัสผ่านเดียวกันสำหรับเว็บไซต์ต่างๆ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่วิธีการแก้ไขที่ปลอดภัย รหัสผ่านง่ายๆ ที่ใช้ในหลายเว็บไซต์สามารถเจาะและดักจับโดยแฮคเกอร์ได้อย่างง่ายดาย หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับรหัสผ่านจากเว็บไซต์ธนาคาร คุณมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินของคุณ

ตรวจสอบความแข็งแกร่งของรหัสผ่าน

แอปพลิเคชัน Kaspersky ตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่านที่คุณสร้างบนอินเทอร์เน็ต หากรหัสผ่านปลอดภัยไม่เพียงพอ Kaspersky สามารถช่วยคุณสร้างรหัสผ่านที่รัดกุมและจัดเก็บไว้ในที่ปลอดภัย

ป้องกันไม่ให้ใช้รหัสผ่านเหมือนกัน

เมื่อคุณป้อนรหัสผ่านบนเว็บไซต์ที่การรักษาความปลอดภัยรหัสผ่านเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง (เช่น บนโซเชียลเน็ตเวิร์ค) ที่ไม่ได้รับอนุญาต แอปพลิเคชัน Kaspersky จะแจ้งให้คุณเปิดใช้งานการป้องกันไม่ให้ใช้รหัสผ่านเหมือนกัน

หากเปิดใช้งานการป้องกันไม่ให้ใช้รหัสผ่านเหมือนกัน แอปพลิเคชัน Kaspersky จะตรวจสอบว่าคุณเคยใช้รหัสผ่านที่คุณป้อนบนเว็บไซต์หมวดหมู่ต่อไปนี้หรือไม่:

  • เว็บไซต์ของธนาคารและระบบการชำระเงิน
  • เครือข่ายสังคมออนไลน์
  • บริการอีเมล

หากรหัสผ่านที่คุณป้อนถูกใช้แล้วบนเว็บไซต์หมวดหมู่เหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาต แอปพลิเคชัน Kaspersky จะแจ้งให้คุณทราบและให้คุณสร้างรหัสผ่านใหม่ คุณสามารถ เลือกหมวดหมู่เว็บไซต์ ที่ควรตรวจสอบการใช้รหัสผ่านเหมือนกันได้

ที่จัดเก็บรหัสผ่านและเอกสารที่ปลอดภัย

Kaspersky Password Manager ออกแบบมาเพื่อรักษารหัสผ่านและเอกสารของคุณให้ปลอดภัย โดยจะใช้พื้นที่จัดเก็บที่เข้ารหัสพิเศษเพื่อจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของคุณอย่างปลอดภัย: รหัสผ่าน ข้อมูลตัวตน ข้อมูลทางการเงินหรือข้อมูลทางการแพทย์

คุณสามารถดาวน์โหลด Kaspersky Password Manager ได้จากหน้าต่างแอปพลิเคชัน Kaspersky

วิธีการดาวน์โหลดและติดตั้ง Kaspersky Password Manager

ในการดาวน์โหลดและติดตั้ง Kaspersky Password Manager เพื่อปกป้องรหัสผ่านของคุณ

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. ในบล็อก ความปลอดภัยของรหัสผ่าน คลิกที่ปุ่ม ดู

คุณจะถูกนำไปยังหน้าที่คุณสามารถดาวน์โหลด Kaspersky Password Manager ได้ ในการติดตั้ง Kaspersky Password Manager ให้ทำตามขั้นตอนมาตรฐานสำหรับการติดตั้งแอปพลิเคชันลงในคอมพิวเตอร์ของคุณ

วิธีเริ่มใช้งาน Kaspersky Password Manager จากหน้าต่างแอปพลิเคชัน Kaspersky

ในการเริ่ม Kaspersky Password Manager ถ้ามีการติดตั้งแล้ว:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. ในบล็อก ความปลอดภัยของรหัสผ่าน คลิกที่ปุ่ม เริ่ม

หหน้าต่าง Kaspersky Password Manager จะเปิดขึ้น

ดู ความช่วยเหลือ Kaspersky Password Manager สำหรับคำแนะนำการใช้ Kaspersky Password Manager

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 84839]

วิธีตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่านของคุณ

ใช้ได้เฉพาะใน Kaspersky Premium

บัญชีอินเทอร์เน็ตของคุณตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงหากมีรหัสผ่านที่ไม่มีความแตกต่างหรือคาดเดาง่าย (เช่น qwerty หรือ 12345) และหากรหัสผ่านอิงจากข้อมูลที่เดาหรือหาได้ง่าย (เช่น ชื่อญาติของคุณหรือวันเกิด)

แอปพลิเคชัน Kaspersky สามารถช่วยคุณตรวจสอบได้อย่างรวดเร็วว่ารหัสผ่านของคุณซับซ้อนเพียงใด และรหัสผ่านเดียวกันนั้นถูกใช้มากกว่าในหนึ่งบัญชีหรือไม่

ในการตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่าน:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. เลือกส่วนความเป็นส่วนตัว
  3. ภายใต้ ความปลอดภัยของรหัสผ่าน ให้เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้:
    • หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง Kaspersky Password Manager ให้คลิก ดู เพื่อไปยังหน้าที่คุณสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันนี้ได้ ชื่อของปุ่มสามารถเป็น เริ่ม หรือ เปิด หาก Kaspersky Password Manager ไม่ได้กำหนดค่า เป็นรุ่นเก่า หรือเชื่อมต่อกับบัญชี My Kaspersky ที่ไม่ตรงกับบัญชีที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Kaspersky

      ซึ่งเป็นการเริ่มการติดตั้ง Kaspersky Password Manager ทำตามคำแนะนำของตัวช่วย

    • คลิก สแกน หากยังไม่ได้เรียกใช้การสแกน
    • คลิก รายละเอียด หากการสแกนถูกเรียกใช้แล้ว

ผลลัพธ์การสแกนจะแสดงภายใต้ ความปลอดภัยของรหัสผ่าน ที่จัดกลุ่มตามหมวดหมู่ความปลอดภัย

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการสแกนรหัสผ่าน โปรดดูที่ วิธีใช้ Kaspersky Password Manager

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 232502]

การกำหนดค่าความปลอดภัยของรหัสผ่าน

เพื่อแก้ไขการตั้งค่าความปลอดภัยของรหัสผ่าน:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. ในส่วน การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว เลือกส่วนย่อย อินพุทข้อมูลอย่างปลอดภัย
  4. เลือกช่องทำเครื่องหมาย แสดงคำใบ้เพื่อสร้างรหัสผ่านที่รัดกุม หากคุณต้องการให้แอปพลิเคชัน Kaspersky ตรวจสอบระดับความปลอดภัยของรหัสผ่านที่คุณสร้างบนเว็บไซต์ และให้คำแนะนำในการสร้างรหัสผ่านที่รัดกุม

    หากคุณติดตั้ง Kaspersky Password Manager การแจ้งเตือนจะแนะนำรหัสผ่านที่แข็งแกร่งให้คุณ หากไม่ได้ติดตั้ง Kaspersky Password Manager เราขอแนะนำให้คุณดาวน์โหลดและติดตั้งเพื่อให้แน่ใจว่าคุณสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่งเสมอ

  5. เลือกช่องทำเครื่องหมาย เตือนเกี่ยวกับการใช้รหัสผ่านเดียวกันบนเว็บไซต์ หากคุณต้องการให้แอปพลิเคชัน Kaspersky ตรวจสอบว่าคุณเคยใช้รหัสผ่านที่คุณป้อนหรือสร้างบนเว็บไซต์ของธนาคาร โซเชียลเน็ตเวิร์ค และบริการอีเมลหรือไม่
  6. คลิกลิงก์ เลือกหมวดหมู่เว็บไซต์ เพื่อไปยังหน้าต่าง หมวดหมู่ของเว็บไซต์ หากคุณต้องการเลือกหมวดหมู่ของเว็บไซต์ที่ต้องตรวจสอบการใช้รหัสผ่านเหมือนกัน
  7. เลือกช่องทำเครื่องหมาสำหรับหมวดหมู่ต่อไปนี้:
    • ธนาคารทางอินเทอร์เน็ตและระบบการชำระเงิน. เมื่อคุณสร้างหรือป้อนรหัสผ่านบนอินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชัน Kaspersky จะตรวจสอบว่าคุณใช้รหัสผ่านนี้บนเว็บไซต์ของธนาคารและระบบการชำระเงินหรือไม่
    • เครือข่ายสังคมออนไลน์. เมื่อคุณสร้างหรือป้อนรหัสผ่านบนอินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชัน Kaspersky จะตรวจสอบว่าคุณใช้รหัสผ่านนี้ในโซเชียลเน็ตเวิร์คหรือไม่
    • บริการอีเมล. เมื่อคุณสร้างหรือป้อนรหัสผ่านบนอินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชัน Kaspersky จะตรวจสอบว่าคุณใช้รหัสผ่านนี้ในบริการอีเมลหรือไม่

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 134636][Topic 70744]

เกี่ยวกับการป้องกันธุรกรรมทางการเงินและการซื้อแบบออนไลน์

เพื่อปกป้องข้อมูลลับที่คุณป้อนเข้าบนเว็บไซต์ธนาคารและระบบการชำระเงิน (เช่นเลขที่บัญชีธนาคารและรหัสผ่านสำหรับธุรกรรมออนไลน์) รวมถึงการป้องกันเงินจากการลักขโมยเมื่อคุณทำการชำระเงินออนไลน์ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะขอให้คุณเปิดเว็บไซต์ดังกล่าวในเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน หากคุณเลือกตัวเลือกเพื่อเปิดเว็บไซต์โดยไม่มีเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน แอปพลิเคชัน Kaspersky จะไม่แจ้งให้คุณเปิดเว็บไซต์นั้นในเบราเซอร์ที่มีการป้องกันเป็นเวลา 50 นาที

เบราเซอร์ที่มีการป้องกัน เป็นโหมดการปฏิบัติงานเบราเซอร์พิเศษที่ถูกออกแบบเพื่อป้องกันข้อมูลของคุณ เมื่อคุณเข้าใช้งานเว็บไซต์ธนาคารหรือระบบการชำระเงิน เบราเซอร์ที่มีการป้องกันจะเริ่มแยกสิ่งรอบข้างเพื่อป้องกันแอปพลิเคชันอื่นๆ จากการล่วงล้ำรหัสเข้าสู่กระบวนการของเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน แอปพลิเคชัน Kaspersky จะสร้างโปรไฟล์พิเศษสำหรับเบราเซอร์ Mozilla Firefox และ Google Chrome เพื่อป้องกันการเพิ่มบุคคลที่สามจากผลกระทบของการดำเนินงานของเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน แอปพลิเคชันไม่ส่งผลต่อข้อมูลของคุณที่เบราเซอร์อาจบันทึกในโปรไฟล์ที่สร้างขึ้น

เมื่อคุณเปิดเบราเซอร์ที่มีการป้องกันเป็นครั้งแรก คุณจะได้รับข้อความเตือนให้คัดลอกข้อมูล การตั้งค่า และปลั๊กอินจากเบราเซอร์หลักของคุณ หลังจากทำการย้ายข้อมูล Kaspersky จะไม่เก็บเบราเซอร์หลักของคุณและเบราเซอร์ที่มีการป้องกันจะซิงค์กัน ซึ่งหมายความว่า ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่ถูกลบจากเบราเซอร์หลักของคุณจะยังคงอยู่ในเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน ในกรณีนี้ คุณต้องดำเนินการลบข้อมูลเดียวกันออกจากเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน

ถ้าคุณกำลังใช้ Chromium-based Microsoft Edge, Google Chrome, Mozilla Firefox หรือ Internet Explorer เบราเซอร์ที่มีการป้องกันจะถูกเปิดในหน้าต่างใหม่

แอปพลิเคชันจะใช้ ส่วนขยายของ Kaspersky Protection เพื่อให้ฟังก์ชันต่างๆ ของเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน

เบราเซอร์ที่ไม่ตรงกับ ความต้องการของซอฟต์แวร์ จะไม่สามารถใช้งานในโหมดเบราเซอร์ที่มีการป้องกันได้ Chromium-based Microsoft Edge หรือเบราเซอร์อื่นที่กำหนดค่าในการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเริ่มทำงานในโหมดเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน แทนเบราเซอร์ดังกล่าว

การเรียกใช้เรียกใช้งานเบราเซอร์ที่มีการป้องกันภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้จะไม่สามารถกระทำได้:

  • ช่องทำเครื่องหมาย เปิดใช้งานป้องกันตัวเอง จะถูกล้างในหน้าต่าง การตั้งค่าป้องกันตัวเอง ในส่วน การตั้งค่าความปลอดภัยป้องกันตัวเอง
  • JavaScript ถูกปิดใช้งานในเบราเซอร์

การเรียกใช้งานเบราเซอร์ที่มีการป้องกันใน Yandex Browser

แอปพลิเคชัน Kaspersky รองรับการรักษาความปลอดภัยธุรกรรมทางการเงินของคุณใน Yandex Browser โดยมีข้อจำกัดบางอย่าง ในการเรียกใช้งานเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน แอปพลิเคชันจะส่งสคริปพิเศษเข้าไปในหน้าเว็บ (และการรับส่งข้อมูล) ส่วนขยายของ Kaspersky Protection ไม่สามารถเลือกใช้งานได้ ส่วนประกอบการเรียกดูส่วนตัวและ Anti-Banner ทำงานแต่ไม่สามารถกำหนดค่าได้ใน Yandex Browser

ความสามารถของเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน

ในโหมดเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน แอปพลิเคชันจะทำการป้องกันจากภัยคุกคามดังต่อไปนี้:

  • โมดูลที่ไม่น่าเชื่อถือ แอปพลิเคชันจะเรียกใช้งานการตรวจสอบสำหรับโมดูลที่ไม่น่าเชื่อถือทุกครั้งที่คุณเยี่ยมชมเว็บไซต์ธนาคารหรือระบบชำระเงิน
  • Rootkit แอปพลิเคชันจะสแกนหา Rootkit ที่มีการเริ่มต้นด้วยเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน
  • ใบรับรองของเว็บไซต์ธนาคารหรือระบบชำระเงินที่ไม่ถูกต้อง แอปพลิเคชันจะตรวจสอบใบรับรองเมื่อคุณเยี่ยมชมเว็บไซต์ธนาคารหรือระบบชำระเงิน การตรวจสอบจะดำเนินการปกป้องฐานข้อมูลจากใบรับรองที่ไม่ปลอดภัย

สถานะของเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน

เมื่อคุณเปิดเว็บไซต์ในเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน จะมีกรอบปรากฏขึ้นบนขอบของหน้าต่างเบราเซอร์ สีของกรอบจะบ่งชี้ถึงสถานะการป้องกัน

กรอบของหน้าต่างเบราเซอร์สามารถแสดงสีต่างๆ ในการบ่งบอกสถานะดังนี้:

  • กรอบสีเขียว บ่งบอกว่าการตรวจสอบทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์แล้ว คุณสามารถใช้เบราเซอร์ที่มีการป้องกันต่อได้
  • กรอบสีเหลือง แสดงว่าการตรวจสอบได้เปิดเผยปัญหาด้านความปลอดภัยที่ต้องแก้ไขหรือส่วนประกอบการป้องกันบางอย่างปิดอยู่

    แอปพลิเคชันสามารถตรวจจับภัยคุกคามและปัญหาด้านความปลอดภัยดังต่อไปนี้:

    • โมดูลที่ไม่น่าเชื่อถือ ต้องมีการสแกนคอมพิวเตอร์และการฆ่าเชื้อ
    • Rootkit ต้องมีการสแกนคอมพิวเตอร์และการฆ่าเชื้อ
    • ใบรับรองของเว็บไซต์ของธนาคารหรือระบบชำระเงินที่ไม่ถูกต้อง
    • การป้องกันตนเองปิดอยู่

    ถ้าคุณไม่กำจัดภัยคุกคามที่ตรวจพบ ความปลอดภัยของเว็บไซต์ธนาคารหรือระบบชำระเงินที่เชื่อมต่อเซสชันจะไม่ได้รับการรับรอง เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดและใช้เบราเซอร์ที่มีการป้องกันที่ลดการป้องกันจะถูกบันทึกในบันทึกเหตุการณ์ของ Windows

    คุณสามารถปิดส่วนประกอบการป้องกันต่อไปนี้ได้:

    • ตัวเฝ้าระวังระบบ
    • ตัวบล็อกการโจมตีเครือข่าย
    • Safe Browsing
  • กรอบแดง แสดงว่า File Anti-Virus ปิดอยู่

เกี่ยวกับการป้องกันจากภาพหน้าจอ

เพื่อป้องกันข้อมูลของคุณเมื่อคุณเรียกดูเว็บไซต์ที่ได้รับการป้องกัน แอปพลิเคชัน Kaspersky จะป้องกันไม่ให้สปายแวร์ถ่ายภาพหน้าจอโดยไม่ได้รับอนุญาต การป้องกันภาพหน้าจอถูกเปิดใช้โดยค่าเริ่มต้น การป้องกันภาพหน้าจอกำลังใช้งานอยู่แม้ว่าปิดใช้งาน การเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์ อยู่ก็ตาม

เกี่ยวกับการป้องกันข้อมูลของคลิปบอร์ด

แอปพลิเคชัน Kaspersky บล็อกการเข้าใช้คลิปบอร์ดโดยแอปพลิเคชันที่ไม่รับอนุญาตเมื่อคุณชำระเงินออนไลน์ และจึงป้องกันการโจรกรรมข้อมูลโดยอาชญากร การบล็อกดังกล่าวจะทำงานก็ต่อเมื่อแอปพลิเคชันที่ไม่น่าเชื่อถือพยายามเข้าใช้คลิปบอร์ดของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้าคุณคัดลอกข้อมูลด้วยตัวเองจากหน้าต่างของแอปพลิเคชันไปยังหน้าต่างของอีกแอปพลิเคชันหนึ่ง (ตัวอย่างเช่น จาก Notepad ไปยังหน้าต่าง Text Editor) จะได้รับอนุญาตให้เข้าถึงคลิปบอร์ดได้

การป้องกันคลิปบอร์ดไม่ได้ทำงานอยู่หาก การเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์ ถูกปิดใช้งานบนคอมพิวเตอร์ของคุณ

หากเบราเซอร์ที่มีการป้องกันเริ่มทำงานในระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows 10, แอปพลิเคชัน Kaspersky จะบล็อกการปฏิสัมพันธ์ของแอปพลิเคชัน Universal Windows กับคลิปบอร์ด

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 110417]

วิธีเปลี่ยนการตั้งค่า Safe Money

การกำหนดค่า Safe Money:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. เลือกส่วนการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  4. คลิกปุ่มSafe Money

    หน้าต่างแสดงการตั้งค่าของส่วนประกอบ Safe Money

  5. เปิดใช้งาน Safe Money โดยการคลิกปุ่มเปลี่ยนที่ส่วนบนของหน้าต่าง
  6. ในส่วน เมื่อเข้าใช้งานเว็บไซต์ธนาคารหรือระบบการชำระเงินครั้งแรก ให้เลือกการดำเนินการโดยแอปพลิเคชันเมื่อคุณเปิดเว็บไซต์ธนาคารหรือระบบการชำระเงินในเบราเซอร์ของคุณ:
    • เลือก เรียกใช้งานเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน ถ้าคุณต้องการให้แอปพลิเคชันเปิดเว็บไซต์ในเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน
    • เลือก สอบถามผู้ใช้ ถ้าคุณต้องการให้แอปพลิเคชันถามคุณว่าต้องการเปิดเว็บไซต์ในเบราเซอร์ที่มีการป้องกันหรือไม่เมื่อคุณเข้าเว็บไซต์นั้น
    • เลือก ห้ามเรียกใช้งานเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน ถ้าคุณไม่ต้องการให้แอปพลิเคชันเปิดเว็บไซต์ในเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน
  7. ในส่วน เพิ่มเติม ให้เปิดรายการแบบเลื่อนลง หากต้องการไปที่เว็บไซต์จากหน้าต่าง Safe Money ให้ใช้ และเลือกเบราเซอร์ที่แอปพลิเคชันจะเรียกใช้งานแบบโหมดเบราเซอร์ที่มีการป้องกันเมื่อคุณเข้าเว็บไซต์ธนาคารหรือระบบการชำระเงินจากหน้าต่าง Safe Money

    คุณสามารถเลือกหนึ่งในเบราเซอร์ที่ติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ของคุณหรือใช้เบราเซอร์เริ่มต้นของระบบปฏิบัติการ

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 82230]

วิธีการกำหนดค่า Safe Money สำหรับบางเว็บไซต์

การกำหนดค่า Safe Money สำหรับบางเว็บไซต์:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. เลือกส่วน Safe Money แล้วคลิกที่ปุ่ม ดูเว็บไซต์

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง Safe Money

  4. คลิกลิงก์ เพิ่มเว็บไซต์ลงใน Safe Money เพื่อเปิดช่องสำหรับเพิ่มข้อมูลเว็บไซต์
  5. ในช่อง เว็บไซต์สำหรับ Safe Money (URL) ให้กรอกที่อยู่เว็บของเว็บไซต์ที่คุณต้องการเปิดในเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน

    ที่อยู่เว็บไซต์ต้องนำหน้าด้วยตัวนำหน้าสำหรับโปรโตคอล HTTPS (ตัวอย่างเช่น https://example.com) ซึ่งเบราเซอร์ที่มีการป้องกันใช้เป็นค่าเริ่มต้น

  6. เลือกการดำเนินการที่คุณต้องการให้เบราเซอร์ที่มีการป้องกันดำเนินการเมื่อคุณเปิดเว็บไซต์:
    • ถ้าคุณต้องการให้เว็บไซต์เปิดในเบราเซอร์ที่มีการป้องกันทุกครั้งที่คุณเข้าเว็บนั้น ให้เลือก เรียกใช้งานเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน
    • หากคุณต้องการให้แอปพลิเคชัน Kaspersky แจ้งให้คุณยืนยันเพื่อดำเนินการเมื่อเปิดเว็บไซต์ ให้เลือก สอบถามผู้ใช้
    • ถ้าคุณต้องการปิดใช้ Safe Money สำหรับเว็บไซต์ ให้เลือก ห้ามเรียกใช้งานเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน
  7. คลิกลิงก์ เพิ่มคำอธิบาย เพื่อเปิดช่อง คำอธิบาย และป้อนชื่อหรือคำอธิบายของเว็บไซต์นี้
  8. คลิกปุ่มเพิ่ม

เว็บไซต์จะแสดงในรายการ

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 82231]

วิธีการส่งความคิดเห็นเกี่ยวกับ Safe Money

ขยายทั้งหมด | ยุบทั้งหมด

คุณสามารถส่งความคิดเห็นไปยัง Kaspersky เกี่ยวกับการดำเนินงานของส่วนประกอบ Safe Money หรือรายงานปัญหาในส่วนประกอบนี้ได้

วิธีส่งความคิดเห็น

การส่งความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของส่วนประกอบ Safe Money:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความปลอดภัย
  3. เลือกส่วน Safe Money แล้วคลิกที่ปุ่ม ดูเว็บไซต์

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง Safe Money

  4. คลิกลิงก์ ส่งความคิดเห็น เพื่อเปิดหน้าต่างซึ่งคุณสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของส่วนประกอบ Safe Money
  5. โปรดให้คะแนน Safe Money โดยใช้ระบบ 5 คะแนนโดยการเลือกจาก 1 ถึง 5 ดาว
  6. หากคุณต้องการเพิ่มความคิดเห็นในเสนอแนะของคุณ ให้ป้อนข้อความของความคิดเห็นลงในช่อง รายละเอียด
  7. คลิก ส่ง.

วิธีรายงานปัญหา

หากต้องการรายงานปัญหาเกี่ยวกับเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน:

  1. คลิกลิงก์ รายงานปัญหา ในหน้าต่างป็อปอัปที่ด้านล่างของเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน

    หน้าต่างที่เปิดขึ้นจะให้คุณรายงานปัญหาเกี่ยวกับ Safe Money

  2. ในรายการแบบเลื่อนลง ปัญหา เลือกรายการที่อธิบายถึงปัญหาของคุณได้อย่างถูกต้องที่สุด:
    • ฉันไม่ได้ใช้งาน เลือกรายการนี้หากคุณไม่ได้กำลังใช้งาน Safe Money หรือตัดสินใจเลือกไม่ใช้ Safe Money
    • เว็บไซต์เปิดช้า เลือกรายการนี้ ถ้าเว็บไซต์ใช้เวลาเปิดนานกว่าเบราเซอร์ปกติ
    • เบราเซอร์ที่มีการป้องกันเริ่มต้นในเวลาที่ไม่ต้องการ เลือกรายการนี้หากเว็บไซต์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ Safe Money กำลังเปิดอยู่ในเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน
    • การอนุญาตเว็บไซต์ล้มเหลว เลือกรายการนี้หากเกิดข้อผิดพลาดระหว่างพยายามทำการตรวจสอบบนเว็บไซต์ที่เปิดในเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน
    • เว็บไซต์แสดงผลไม่ถูกต้อง หรือไม่เปิด เลือกตัวเลือกนี้หากไม่ได้เปิดเว็บไซต์ในเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน หรือแสดงพร้อมกับพร้อมผิดพลาดหรือผิดเพี้ยน
    • การตรวจสอบใบรับรองเว็บไซต์ผิดพลาด เลือกรายการนี้หากข้อความแจ้งข้อผิดพลาดปรากฏขึ้นระหว่างการตรวจสอบใบรับรองของเว็บไซต์
    • จับภาพหน้าจอไม่ได้ขณะเบราเซอร์ที่มีการป้องกันทำงานอยู่ เลือกรายการนี้หากไม่ได้กำลังสร้างภาพหน้าจอในเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน
    • เกิดข้อผิดพลาดขณะอินพุทข้อมูลจากแป้นพิมพ์หรือจากคลิปบอร์ด เลือกรายการนี้หากเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการอินพุทข้อมูลในเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน
    • หน้าเว็บในเบราเซอร์ที่มีการป้องกันไม่พิมพ์ เลือกรายการนี้หากคุณไม่สามารถพิมพ์หน้าเริ่มต้นของเว็บไซต์ได้
    • มีข้อความเตือนเกี่ยวกับอัปเดตระบบปฏิบัติการสำคัญที่ไม่ได้ติดตั้งปรากฏขึ้น เลือกรายการนี้หากมีข้อความ "การอัปเดตระบบที่ไม่สำคัญไม่ได้รับการติดตั้ง" ปรากฏขึ้นเมื่อกำลังเรียกใช้งานเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน
    • มีเบราเซอร์อื่นที่ทำงานเป็นเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน เลือกรายการนี้หากเบราเซอร์ที่มีการป้องกันปรากฏขึ้นในเบราเซอร์อื่นนอกเหนือจากเบราเซอร์ที่คุณเริ่มต้น
    • เกิดข้อผิดพลาดในการทำงาน เลือกรายการนี้หากเบราเซอร์ที่มีการป้องกันแสดงข้อผิดพลาด
    • อื่นๆ เลือกรายการนี้ ถ้าในรายการไม่ครอบคลุมปัญหาที่คุณกำลังประสบ
  3. หากต้องการส่งข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาของไปยัง Kaspersky ให้ป้อนคำอธิบายในช่องข้อความ รายละเอียด
  4. คลิกปุ่มส่ง

หากแอปพลิเคชัน Kaspersky ไม่สามารถส่งความคิดเห็นของคุณ (ตัวอย่างเช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่สามารถเลือกใช้งานได้) ความคิดเห็นนี้จะได้รับการบันทึกในคอมพิวเตอร์ของคุณ ความคิดเห็นจะได้รับการจัดเก็บอย่างเปิดเผยเป็นเวลา 30 วัน

คุณสามารถส่งความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของส่วนประกอบ Safe Money ได้สูงสุด 10 ครั้งต่อวัน

คุณสามารถส่งความคิดเห็นหลังจากปิดใช้ส่วนประกอบ Safe Money ได้ หลังส่วนประกอบถูกปิดใช้ คุณสามารถส่งความคิดเห็นได้เดือนละหนึ่งครั้ง

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 126790]

การควบคุมเว็บแคมและไมโครโฟน

ส่วนนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการป้องกันการสอดแนมผ่านเว็บแคมและการดักฟังผ่านไมโครโฟนของคุณ

สามารถเลือกใช้งานได้เฉพาะใน Kaspersky Standard, Kaspersky Plus และ Kaspersky Premium เท่านั้น

ในส่วนนี้

เกี่ยวกับการเข้าใช้งานเว็บแคมและไมโครโฟนของแอปพลิเคชัน

วิธีการเปลี่ยนการตั้งค่าการเข้าใช้งานเว็บแคมและไมโครโฟนของแอปพลิเคชัน

วิธีอนุญาตหรือบล็อกการเข้าถึงเว็บแคมสำหรับแต่ละแอปพลิเคชัน

วิธีอนุญาตหรือบล็อกการเข้าถึงไมโครโฟนสำหรับแต่ละแอปพลิเคชัน

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 144122]

เกี่ยวกับการเข้าใช้งานเว็บแคมและไมโครโฟนของแอปพลิเคชัน

ขยายทั้งหมด | ยุบทั้งหมด

ผู้บุกรุกอาจพยายามสอดแนมคุณโดยใช้เว็บแคมหรือแอบฟังคุณโดยการเข้าถึงไมโครโฟนของคุณ แอปพลิเคชัน Kaspersky ปกป้องเว็บแคมและไมโครโฟนของคุณจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต หากเปิดใช้งานส่วนประกอบการควบคุมเว็บแคมและไมโครโฟน ในส่วนประกอบการตั้งค่า คุณสามารถบล็อกการเข้าถึงเว็บแคมและไมโครโฟนของแอปพลิเคชันทั้งหมด หรือขอให้แจ้งเตือนเมื่อแอปพลิเคชันพยายามเข้าถึงเว็บแคมหรือไมโครโฟนของคุณ

หากส่วนประกอบเปิดใช้งานอยู่ แต่การเข้าถึงเว็บแคมและไมโครโฟนของคุณไม่ได้บล็อกอย่างสมบูรณ์ การเข้าถึงจะได้รับหรือปฏิเสธตามกลุ่มความน่าเชื่อถือที่เป็นส่วนหนึ่งของแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้อง การเข้าถึงถูกบล็อกสำหรับแอปพลิเคชันในกลุ่มที่มีการจำกัดขั้นสูงหรือไม่น่าเชื่อถือ

ในหน้าต่างการการตั้งค่าการป้องกันการบุกรุก คุณสามารถอนุญาตการเข้าใช้งานเว็บแคมหรือไมโครโฟน สำหรับแอปพลิเคชันที่รวมอยู่ในกลุ่มข้อจำกัดขั้นสูงและกลุ่มไม่น่าเชื่อถือ หากแอปพลิเคชันจากกลุ่มจำกัดขั้นต่ำพยายามเข้าถึงเว็บแคมหรือไมโครโฟน แอปพลิเคชัน Kaspersky จะบล็อกการเข้าถึงและแจ้งให้คุณทราบหากคุณกำหนดค่าการแจ้งเตือนในการตั้งค่าส่วนประกอบ

ในรายการดรอปดาวน์ของการแจ้งเตือน คุณสามารถบล็อกการเข้าถึงเว็บแคมหรือไมโครโฟนของแอปพลิเคชัน หรือ ไปที่การตั้งค่าการเข้าถึง การแจ้งเตือนจะไม่แสดงหากมีบางแอปพลิเคชันกำลังทำงานในโหมดเต็มจอบนคอมพิวเตอร์ของคุณ

ในรายการแบบเลื่อนลงของการแจ้งเตือน คุณสามารถเลือกซ่อนการแจ้งเตือนหรือดำเนินการกำหนดการตั้งค่าการแสดงผลการแจ้งเตือน

Kaspersky จัดการเว็บแคมอย่างไร

ตามค่าเริ่มต้น แอปพลิเคชัน Kaspersky จะอนุญาตให้เว็บแคมเข้าใช้งานแอปพลิเคชันซึ่งต้องการการอนุญาตของคุณเมื่อ GUI ของแอปพลิเคชันกำลังโหลด ยกเลิกการโหลด หรือไม่ตอบสนอง และคุณไม่สามารถอนุญาตการเข้าใช้งานด้วยตนเองได้

ฟังก์ชันการป้องกันการเข้าใช้เว็บแคมมีคุณลักษณะและข้อจำกัดดังต่อไปนี้:

  • แอปพลิเคชัน Kaspersky ควบคุมวิดีโอและภาพนิ่งที่ได้มาจากการประมวลผลข้อมูลเว็บแคม
  • แอปพลิเคชัน Kaspersky ควบคุมสัญญาณเสียงหากสัญญาณนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวิดีโอสตรีมที่มาจากเว็บแคม
  • แอปพลิเคชัน Kaspersky ควบคุมเพียงเว็บแคมที่เชื่อมต่อผ่าน USB หรือ IEEE1394 ซึ่งแสดงในตัวจัดการอุปกรณ์ Windows ว่าเป็นอุปกรณ์การสร้างภาพ

คลิก ลิงค์ นี้เพื่อดูรายการเว็บแคมที่ได้รับการสนับสนุน

การเปิดใช้การป้องกันการใช้งานเว็บแคมที่ไม่ได้รับอนุญาต ต้องเปิดใช้ส่วนประกอบการป้องกันการบุกรุก

ระบบป้องกันเว็บแคมมี ข้อจำกัดหากติดตั้งแอปพลิเคชันใน Microsoft Windows 10 Anniversary Update (RedStone 1)

Kaspersky จัดการไมโครโฟนอย่างไร

การป้องกันไมโครโฟนมีคุณลักษณะพิเศษดังต่อไปนี้:

  • ส่วนประกอบการป้องกันการบุกรุกจะถูกเปิดใช้งานเพื่อให้ความสามารถในการทำงานนี้ทำงานได้
  • หลังจากการตั้งค่าแอปพลิเคชันเพื่อเข้าใช้งานอุปกรณ์บันทึกเสียงถูกเปลี่ยนแปลง (ตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชันถูกห้ามการรับออดิโอสตรีมในหน้าต่างการตั้งค่าการตั้งค่าการป้องกันการบุกรุก) จะต้องรีสตาร์ทแอปพลิเคชันนี้เพื่อหยุดการรับออดิโอสตรีม
  • แอปพลิเคชัน Kaspersky ปกป้องการเข้าใช้งานไมโครโฟนภายในเครื่องคอมพิวเตอร์และไมโครโฟนภายนอก ไม่รองรับอุปกรณ์สตรีมมิงอื่นๆ
  • แอปพลิเคชัน Kaspersky อนุญาตให้แอปพลิเคชันรับออดิโอสตรีมและไม่แสดงการแจ้งเตือนใดๆ หากแอปพลิเคชันเริ่มรับออดิโอสตรีมก่อน แอปพลิเคชัน Kaspersky จะเริ่มต้นขึ้น หรือในกรณีที่คุณวางแอปพลิเคชันในกลุ่มข้อจำกัดขั้นสูงหรือไม่น่าเชื่อถือหลังจากแอปพลิเคชันเริ่มรับออดิโอสตรีม
  • ในบางกรณี แอปพลิเคชัน Kaspersky ตรวจพบว่าแอปพลิเคชันบางตัวกำลังเข้าถึงไมโครโฟน แม้ว่าไม่ได้เชื่อมต่อไมโครโฟนเข้ากับอุปกรณ์ก็ตาม

แอปพลิเคชัน Kaspersky ไม่รับรองการปกป้องออดิโอสตรีมจากอุปกรณ์เช่น กล้อง DSLR กล้องวิดีโอ และกล้องแอคชัน

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 82474]

วิธีการเปลี่ยนการตั้งค่าการเข้าใช้งานเว็บแคมและไมโครโฟนของแอปพลิเคชัน

วิธีเปลี่ยนการตั้งค่าการเข้าใช้งานเว็บแคมของแอปพลิเคชัน:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. ในส่วน การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว เลือกส่วนประกอบ การควบคุมเว็บแคมและไมโครโฟน
  4. ภายใต้ การตั้งค่าเว็บแคม ให้เลือกหนึ่งในการดำเนินการต่อไปนี้:
    • แจ้งเตือนว่าแอปกำลังใช้เว็บแคม. แอปพลิเคชันที่มีการเข้าถึงตามค่าเริ่มต้นจะได้รับอนุญาตให้เข้าถึงเว็บแคมได้ การแจ้งเตือนจะแสดงขึ้นเพื่อแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่ามีแอปพลิเคชันใดกำลังใช้งานเว็บแคมอยู่

      ไม่สามารถทำการตั้งค่านี้ได้หากเลือกการดำเนินการ บล็อกการเข้าถึงเว็บแคมสำหรับแอปทั้งหมด

    • เชื่อมต่อโดยไม่มีการแจ้งเตือน: $WithoutNotificationPrograms. การคลิกลิงก์นี้จะเปิดรายการแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับเว็บแคมโดยไม่มีการแจ้งเตือน หากต้องการแยกแอปพลิเคชันออกจากรายการ ให้เลือกแล้วคลิก แจ้งเตือน ตัวเลือกจะไม่สามารถเลือกใช้งานได้ หากรายการว่างเปล่า
    • บล็อกการเข้าถึงเว็บแคมสำหรับแอปทั้งหมด. การเข้าถึงเว็บแคมถูกบล็อกสำหรับแอปพลิเคชันทั้งหมดที่ติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ของคุณ
    • แอปพลิเคชันที่บล็อก: + $BannedPrograms. การคลิกลิงก์นี้จะเปิดรายการแอปพลิเคชันที่เว็บแคมถูกบล็อก หากต้องการแยกแอปพลิเคชันออกจากรายการ ให้เลือกแล้วคลิก อนุญาต ตัวเลือกจะไม่สามารถเลือกใช้งานได้ หากรายการว่างเปล่า
  5. ภายใต้ การตั้งค่าไมโครโฟน ให้เลือกหนึ่งในการดำเนินการต่อไปนี้:
    • แจ้งเตือนว่าแอปกำลังใช้ไมโครโฟน. แอปพลิเคชันที่มีการเข้าถึงตามค่าเริ่มต้นจะได้รับอนุญาตให้เข้าถึงไมโครโฟนได้ การแจ้งเตือนจะแสดงขึ้นเพื่อแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่ามีแอปพลิเคชันใดกำลังใช้งานไมโครโฟนอยู่

      ไม่สามารถทำการตั้งค่านี้ได้หากเลือกการดำเนินการ บล็อกการเข้าถึงไมค์สำหรับแอปทั้งหมด

    • เชื่อมต่อโดยไม่มีการแจ้งเตือน: $WithoutNotificationPrograms. การคลิกลิงก์นี้จะเปิดรายการแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับไมค์โดยไม่มีการแจ้งเตือน หากต้องการแยกแอปพลิเคชันออกจากรายการ ให้เลือกแล้วคลิก แจ้งเตือน ตัวเลือกจะไม่สามารถเลือกใช้งานได้ หากรายการว่างเปล่า
    • บล็อกการเข้าถึงไมค์สำหรับแอปทั้งหมด. การเข้าถึงไมโครโฟนถูกบล็อกสำหรับแอปพลิเคชันทั้งหมดที่ติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ของคุณ
    • แอปพลิเคชันที่บล็อก: + $BannedPrograms. การคลิกลิงก์นี้จะเปิดรายการแอปพลิเคชันที่ไมโครโฟนถูกบล็อก หากต้องการแยกแอปพลิเคชันออกจากรายการ ให้เลือกแล้วคลิก อนุญาต ตัวเลือกจะไม่สามารถเลือกใช้งานได้ หากรายการว่างเปล่า

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 85234]

วิธีอนุญาตหรือบล็อกการเข้าถึงเว็บแคมสำหรับแต่ละแอปพลิเคชัน

ในการอนุญาตหรือบล็อกการเข้าถึงเว็บแคมสำหรับแอปพลิเคชัน:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความปลอดภัย
  3. เลือกส่วนประกอบ การป้องกันการบุกรุก
  4. คลิกที่ลิงก์ จัดการแอปพลิเคชัน เพื่อเปิดหน้าต่าง จัดการแอปพลิเคชัน
  5. ในรายการ ให้เลือกแอปพลิเคชันที่คุณต้องการอนุญาตให้เข้าใช้งานอุปกรณ์บันทึกเสียง คลิกสองครั้งที่แอปพลิเคชันเพื่อเปิดหน้าต่าง กฎของแอปพลิเคชัน
  6. ในหน้าต่าง กฎของแอปพลิเคชัน ให้ไปที่แท็บ สิทธิ์
  7. ในรายการหมวดหมู่สิทธิ์ ให้เลือก การแก้ไขระบบปฏิบัติการการแก้ไขที่น่าสงสัยในระบบปฏิบัติการ
  8. เลือกเข้าถึงเว็บแคม
  9. ในคอลัมน์ การดำเนินการ ให้เลือก อนุญาต หรือ ปฏิเสธ
  10. คลิก บันทึก.

หากคุณเลือก บล็อกการเข้าถึงเว็บแคมสำหรับแอปทั้งหมด การเข้าถึงเว็บแคมของแอปพลิเคชันจะถูกบล็อกโดยไม่คำนึงถึงกลุ่มที่เชื่อถือได้และกำหนดค่าการอนุญาตด้วยตนเอง

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 82864]

วิธีอนุญาตหรือบล็อกการเข้าถึงไมโครโฟนสำหรับแต่ละแอปพลิเคชัน

ในการอนุญาตหรือบล็อกการเข้าถึงไมโครโฟนสำหรับแอปพลิเคชัน:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความปลอดภัย
  3. เลือกส่วนประกอบ การป้องกันการบุกรุก
  4. คลิกที่ลิงก์ จัดการแอปพลิเคชัน เพื่อเปิดหน้าต่าง จัดการแอปพลิเคชัน
  5. ในรายการ ให้เลือกแอปพลิเคชันที่คุณต้องการอนุญาตให้เข้าถึงไมโครโฟน และดับเบิลคลิกเพื่อเปิดหน้าต่าง กฎของแอปพลิเคชัน
  6. ในหน้าต่าง กฎของแอปพลิเคชัน ให้ไปที่แท็บ สิทธิ์
  7. ในรายการหมวดหมู่สิทธิ์ ให้เลือก การแก้ไขระบบปฏิบัติการการแก้ไขที่น่าสงสัยในระบบปฏิบัติการเข้าถึงอุปกรณ์บันทึกเสียง
  8. ในคอลัมน์ การดำเนินการ ให้เลือก อนุญาต หรือ ปฏิเสธ
  9. การรับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับตัวอย่างของแอปพลิเคชันซึ่งได้รับอนุญาตหรือปฏิเสธให้เข้าใช้งานออดิโอสตรีม ในส่วนคอลัมน์ การดำเนินการ คลิกที่ไอคอนและเลือก บันทึกเหตุการณ์
  10. คลิก บันทึก.

หากคุณเลือก บล็อกการเข้าถึงสำหรับแอปพลิเคชันทั้งหมด การเข้าถึงไมโครโฟนของแอปพลิเคชันจะถูกบล็อกโดยไม่คำนึงถึงกลุ่มที่เชื่อถือได้และกำหนดค่าการอนุญาตด้วยตนเอง

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 94351]

การตรวจจับ Stalkerware และแอปพลิเคชันอื่น

อาชญากรสามารถใช้แอปพลิเคชันที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวของคุณและสอดแนมคุณได้ แอปพลิเคชันเหล่านี้ส่วนใหญ่มีประโยชน์ และหลายคนได้รับประโยชน์จากการใช้งาน แอปพลิเคชันเหล่านี้รวมถึงไคลเอ็นต์ IRC, โปรแกรมโทรอัตโนมัติ, โปรแกรมดาวน์โหลดไฟล์, โปรแกรมตรวจสอบกิจกรรมของระบบ, โปรแกรมอรรถประโยชน์การจัดการรหัสผ่าน, FTP, HTTP, หรือ Telnet เซิร์ฟเวอร์

อย่างไรก็ตาม หากอาชญากรเข้าถึงแอปเหล่านี้บนคอมพิวเตอร์ของคุณหรือปรับใช้แอปเหล่านี้อย่างลับๆ พวกเขาจะสามารถใช้ฟังก์ชันบางอย่างเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวของคุณหรือกระทำการผิดกฎหมายอื่นๆ ได้

ด้านล่างจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ประเภทต่างๆ ที่อาชญากรสามารถใช้ได้

ประเภท

ชื่อ

คำอธิบาย

ไคลเอนต์-IRC

ไคลเอนต์ IRC

ผู้คนติดตั้งแอปเหล่านี้เพื่อสื่อสารระหว่างกันใน Internet Relay Chats (IRC) อาชญากรสามารถใช้แอปเหล่านี้เพื่อแพร่กระจาย malware ได้

ตัวเรียกเลขหมาย

เครื่องโทรอัตโนมัติ

ทำให้สามารถสร้างการเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่านโมเด็มได้อย่างลับๆ อาชญากรสามารถใช้ซอฟต์แวร์ประเภทนี้เพื่อทำการโทรจากอุปกรณ์ของผู้ใช้ ซึ่งสามารถทำให้เกิดความเสียหายทางการเงินต่อผู้ใช้ได้

ตัวดาวน์โหลด

ตัวดาวน์โหลด

ทำให้สามารถแอบดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บเพจได้ อาชญากรสามารถใช้ซอฟต์แวร์ดังกล่าวเพื่อดาวน์โหลดมัลแวร์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ

การตรวจสอบ

การตรวจสอบแอพ

อนุญาตให้ตรวจสอบกิจกรรมของคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้ง (ติดตามว่าแอปพลิเคชั่นใดกำลังทำงานอยู่และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับแอพบนคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นอย่างไร) อาชญากรสามารถใช้แอปเหล่านี้เพื่อสอดแนมอุปกรณ์ของผู้ใช้

PSWTool

เครื่องมือกู้คืนรหัสผ่าน

สามารถให้ผู้ใช้ดูและกู้คืนรหัสผ่านที่ลืมได้ อาชญากรสามารถแอบปรับใช้แอปเหล่านี้บนคอมพิวเตอร์ของผู้คนเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน

RemoteAdmin

เครื่องมือการดูแลระบบระยะไกล

ผู้ดูแลระบบใช้กันอย่างแพร่หลายในการเข้าถึงอินเทอร์เฟซของคอมพิวเตอร์ระยะไกลเพื่อตรวจสอบและควบคุม อาชญากรจะแอบใช้แอปเหล่านี้ในคอมพิวเตอร์ของผู้คนเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน เพื่อสอดแนมคอมพิวเตอร์ระยะไกลและควบคุมคอมพิวเตอร์

เครื่องมือการดูแลระบบระยะไกลแอปที่ถูกต้องนั้นแตกต่างจากแบ็คดอร์ (โทรจันควบคุมระยะไกล) แบ็คดอร์สามารถแทรกซึมเข้าไปในระบบและติดตั้งได้ด้วยตัวเองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ ในขณะที่แอปที่ถูกต้องจะไม่มีฟังก์ชันนี้

เซิร์ฟเวอร์ FTP

เซิร์ฟเวอร์ FTP

ทำงานเป็นเซิร์ฟเวอร์ FTP อาชญากรสามารถใช้ เซิร์ฟเวอร์ FTP บนคอมพิวเตอร์ของคุณเพื่อเปิดการเข้าถึงระยะไกลโดยใช้โปรโตคอล FTP

เซิร์ฟเวอร์-พร็อกซี่

พร็อกซีเซิร์ฟเวอร์

ทำงานเป็นพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ อาชญากรสามารถปรับใช้ พร็อกซีเซิร์ฟ เวอร์บนคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการส่งสแปม

เซิร์ฟเวอร์-Telnet

Telnet เซิร์ฟเวอร์

ทำงานเป็นเซิร์ฟเวอร์ Telnet อาชญากรสามารถปรับใช้ Telnet เซิร์ฟเวอร์ บนคอมพิวเตอร์เพื่อเปิดการเข้าถึงระยะไกลโดยใช้โปรโตคอล Telnet

เซิร์ฟเวอร์-เว็บ

เว็บเซิร์ฟเวอร์

ทำงานเป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ อาชญากรสามารถใช้ เซิร์ฟเวอร์ HTTP บนคอมพิวเตอร์ของคุณเพื่อเปิดการเข้าถึงระยะไกลโดยใช้โปรโตคอล FTP

RiskTool

เครื่องมือในเครื่อง

พวกเขาให้ความสามารถเพิ่มเติมแก่ผู้ใช้ในการจัดการคอมพิวเตอร์ของตน (ทำให้ผู้ใช้สามารถซ่อนไฟล์หรือหน้าต่างแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่ หรือเพื่อปิดกระบวนการที่ใช้งานอยู่) กลุ่มนี้ประกอบด้วยโปรแกรมขุดที่สามารถติดตั้งได้อย่างลับๆ และใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์จำนวนมาก อาชญากรสามารถทำการดำเนินการทั้งหมดข้างต้นเพื่อปกปิดมัลแวร์ที่ติดตั้งบนอุปกรณ์ของคุณหรือทำให้ตรวจจับได้ยากขึ้น

NetTool

เครื่องมือเครือข่าย

พวกเขาให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งความสามารถเพิ่มเติมสำหรับการโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่าย (รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ระยะไกล ค้นหาพอร์ตที่เปิดอยู่ เปิดแอปพลิเคชันที่ติดตั้งบนคอมพิวเตอร์เหล่านั้น) การดำเนินการทั้งหมดข้างต้นสามารถใช้เพื่อจุดประสงค์ที่เป็นอันตราย

ไคลเอนต์-P2P

ไคลเอนต์เครือข่าย P2P

ให้ผู้คนใช้เครือข่าย P2P (Peer-to-Peer) อาชญากรสามารถใช้เพื่อแพร่กระจาย malware ได้

ไคลเอนต์-SMTP

ไคลเอนต์ SMTP

สามารถแอบส่งอีเมลได้ อาชญากรสามารถปรับใช้ พร็อกซีเซิร์ฟ เวอร์บนคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการส่งสแปม

WebToolbar

แถบเครื่องมือเว็บ

เพิ่มแถบเครื่องมือเครื่องมือค้นหาไปยังอินเทอร์เฟซของแอปอื่นๆ มักจะแพร่กระจายด้วยความช่วยเหลือของมัลแวร์หรือแอดแวร์

คุณสามารถเปิดใช้งานการป้องกันจาก Stalkerware และแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่สามารถใช้โดยอาชญากร และเราจะเตือนคุณหากเราตรวจพบแอปพลิเคชันดังกล่าว

ในการเปิดการใช้งานการป้องกันจาก Stalkerware และแอปพลิเคชันอื่นๆ:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. ไปที่ การตั้งค่าความปลอดภัยข้อยกเว้นและการดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจหาออบเจ็กต์
  4. ในส่วน Stalkerware และแอปพลิเคชันอื่นๆ เลือกช่องทำเครื่องหมาย:
    • ตรวจหา Stalkerware

      เพื่อการป้องกันจากแอปพลิเคชันที่ช่วยอาชญากรได้การเข้าถึงตำแหน่งของคุณ ข้อความ หรือเว็บไซต์และโซเชียลเน็ตเวิร์กที่คุณเข้าชม

    • ตรวจพบแอปที่ถูกกฎหมายซึ่งผู้บุกรุกสามารถใช้ทำลายคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลส่วนตัวของคุณ

      เพื่อการป้องกันจากแอปพลิเคชันที่อาชญากรสามารถใช้เพื่อดาวน์โหลดมัลแวร์ไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณหรือใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ของคุณเพื่อจุดประสงค์ที่ชั่วร้าย แอปพลิเคชัน Kaspersky ตรวจไม่พบแอปพลิเคชันการดูแลระบบระยะไกลที่ถือว่าเชื่อถือได้

หากไม่ได้เลือกช่องทำเครื่องหมายเหล่านี้ คุณอาจจะได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับแอปพลิเคชันบางรายการจากตารางด้านบนเนื่องจากแอปพลิเคชันเหล่านั้นอยู่ในหมวดหมู่พิเศษและถูกประมวลผลตามค่าเริ่มต้นโดยไม่สนถึงการตั้งค่าของแอปพลิเคชัน ตัวอย่างเช่น: RemoteAdmin, PSWTool, Monitor

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 222844]

ป้องกันแบนเนอร์

ส่วนนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีที่ Kaspersky ใช้ป้องกันคุณจากแบนเนอร์โฆษณาในอินเทอร์เน็ต

ในส่วนนี้

เกี่ยวกับ Anti-Banner

วิธีการเปิดใช้งานส่วนประกอบของ Anti-Banner

การบล็อกแบนเนอร์

การอนุญาตแบนเนอร์

วิธีกำหนดค่าตัวกรอง Anti-Banner

วิธีการจัดการ Anti-Banner ในเบราเซอร์

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 89109]

เกี่ยวกับ Anti-Banner

สามารถเลือกใช้งานได้เฉพาะใน Kaspersky Standard, Kaspersky Plus และ Kaspersky Premium เท่านั้น

ส่วนประกอบของ Anti-Banner ถูกออกแบบเพื่อให้การป้องกันจากแบนเนอร์ในระหว่างที่คุณเรียกดูเว็บไซต์ Anti-Banner จะบล็อกแบนเนอร์ที่แสดงบนเว็บไซต์ที่คุณเข้าเยี่ยมชมและในอินเทอร์เฟสของบางแอปพลิเคชัน Anti-Banner จะบล็อกแบนเนอร์ของเว็บไซต์จากรายการแบนเนอร์ที่รู้จัก ซึ่งจะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน Kaspersky คุณสามารถจัดการการบล็อกแบนเนอร์ผ่านอินเทอร์เฟซแอปพลิเคชัน Kaspersky หรือในเบราเซอร์โดยตรง

ตามค่าเริ่มต้น แบนเนอร์จะได้รับอนุญาตบนเว็บไซต์จากรายการของ เว็บไซต์ Kaspersky รายการนี้ถูกรวบรวมโดยผู้เชี่ยวชาญของ Kaspersky และรวมไปถึงเว็บไซต์ Kaspersky และเว็บไซต์ผู้จำหน่ายที่เป็นแม่ข่ายโฆษณาของ Kaspersky คุณสามารถดูรายการนี้หรือปิดการใช้รายการนี้ถ้าคุณเห็นว่าจำเป็นที่จะบล็อกแบนเนอร์บนเว็บไซต์ของ Kaspersky และผู้จำหน่าย

ตัวนับแบนเนอร์ที่ถูกบล็อกจะแสดงจำนวนรวมของแบนเนอร์ที่ถูกบล็อกบนเว็บไซต์ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่ามีหน้าเว็บไซต์เปิดอยู่ในเบราเซอร์กี่หน้า หากมีหน้าเว็บเปิดอยู่ในเบราเซอร์เพียงหนึ่งหน้า จะนับตัวบล็อกบนหน้าเว็บของเว็บไซต์นี้เท่านั้น หากเปิดหน้าเว็บหลายหน้าบนเว็บไซต์เดียวกัน จะนับแบนเนอร์ที่ถูกบล็อกบนหน้าเว็บทั้งหมดของเว็บไซต์ที่เปิดอยู่ในเบราเซอร์

ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของ Anti-Banner สามารถดูได้ในการ รายงาน

Anti-Banner มีขีดจำกัดดังต่อไปนี้:

  • ไซต์บางไซต์ตรวจพบว่าโฆษณาบนหน้าถูกบล็อกและจะไม่แสดงเนื้อหาจนกว่าผู้ใช้จะปลดตัวบล็อกโฆษณา เพื่อดูเนื้อหาในไซต์ดังกล่าว คุณต้อง เพิ่มที่อยู่ของไซต์ไปยังรายการที่ยกเว้น
  • หากหน้าเว็บบนแบนเนอร์ที่พบไม่สามารถกำหนดได้ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะไม่บล็อกและจะไม่แสดงข้อมูลของแบนเนอร์นี้
  • หากหน้าเว็บบนแบนเนอร์ที่พบสามารถกำหนดได้แต่ไม่ตรงกับหน้าเพจที่เปิดในเว็บเบราเซอร์ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะบล็อกแบนเนอร์หรืออนุญาตให้แสดงแบนเนอร์ได้ขึ้นอยู่กับข้อมูลนั้นถูกกำหนดหรือไม่ แอปพลิเคชันจะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับแบนเนอร์ในรายงาน แต่จะไม่รวมข้อมูลนี้ในสถิติของ Anti-Banner ที่แสดงในเบราเซอร์
  • สถิติของ Anti-Banner จะแสดงอยู่ในเบราเซอร์รวมไปถึงแบนเนอร์ที่ถูกบล็อกในขณะหน้าเว็บถูกโหลดขึ้นเมื่อก่อนหน้านั้น รวมไปถึงแบนเนอร์ที่ถูกบล็อกก่อนหน้าและถูกโหลดอีกครั้ง
  • สถิติของ Anti-Banner จะแสดงอยู่ในเบราเซอร์ไม่รวมแบนเนอร์ที่ถูกบล็อกในเนื้อหาแบบไดนามิกของหน้าหลังจากเว็บไซต์ถูกโหลด
ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 127381]

วิธีการเปิดใช้งานส่วนประกอบของ Anti-Banner

ขยายทั้งหมด | ยุบทั้งหมด

ส่วนประกอบ Anti-Banner ถูกปิดใช้ตามค่าเริ่มต้น คุณสามารถเปิดใช้งานได้ผ่านอินเทอร์เฟซของแอปพลิเคชัน Kaspersky หรือด้วยความช่วยเหลือจากส่วนขยายของ Kaspersky Protection ในเบราเซอร์ของคุณ

วิธีเปิดใช้งาน Anti-Banner ในอินเทอร์เฟซของแอปพลิเคชัน Kaspersky

ในการเปิดใช้งาน Anti-Banner ในอินเทอร์เฟซของแอปพลิเคชัน Kaspersky:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. เลือกส่วนการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  4. เลือกส่วนประกอบ Anti-Banner

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า Anti-Banner

  5. เปิดใช้งานส่วนประกอบด้วยการคลิกปุ่มเปลี่ยนที่ส่วนบนของหน้าต่าง

วิธีเปิดใช้งาน Anti-Banner ในหน้าต่างเบราเซอร์

ในการเปิดใช้งาน Anti-Banner ในหน้าต่างเบราเซอร์

  1. คลิกปุ่ม  Kaspersky Protection บนแถบเครื่องมือของเบราเซอร์
  2. ในส่วนเมนูแบบเลื่อนลง Anti-Banner คลิกปุ่ม เปิดใช้งาน

หลังจากเปิดใช้งานหรือปิดใช้งาน Anti-Banner แล้ว คุณต้องโหลดหน้าเว็บใหม่ในเบราเซอร์เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงส่งผล

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 89110]

การบล็อกแบนเนอร์

ขยายทั้งหมด | ยุบทั้งหมด

เว็บไซต์ Anti-Banner จะบล็อกแบนเนอร์ของเว็บไซต์จากรายการแบนเนอร์ที่รู้จัก ซึ่งจะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน Kaspersky ถ้าแบนเนอร์แสดงอยู่บนหน้าเว็บแม้ในระหว่างที่ Anti-Banner กำลังทำงานอยู่ นี่อาจแสดงว่าแบนเนอร์นั้นไม่อยู่ในรายการแบนเนอร์ที่รู้จัก คุณสามารถบล็อกการแสดงแบนเนอร์ได้ด้วยตัวเอง

การบล็อกแบนเนอร์ คุณต้องเพิ่มแบนเนอร์นั้นลงในรายชื่อแบนเนอร์ที่ถูกบล็อก คุณสามารถทำได้โดยตรงบนหน้าเว็บหรือในแอปพลิเคชัน Kaspersky

ถ้าแบนเนอร์อยู่บนเว็บไซต์จากรายการของเว็บไซต์พร้อม แบนเนอร์ที่อนุญาต คุณจะไม่สามารถบล็อกการแสดงแบนเนอร์นี้ได้

วิธีการบล็อกแบนเนอร์บนหน้าเว็บ

การบล็อกแบนเนอร์บนหน้าเว็บ:

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ส่วนขยาย Kaspersky Protection ถูกติดตั้งและเปิดใช้งานแล้วในเบราเซอร์
  2. ถ้า Anti-Banner ถูกปิดใช้ ให้เปิดใช้ดังต่อไปนี้:
    1. คลิกปุ่ม Green shield with a white tick Kaspersky Protection บนแถบเครื่องมือของเบราเซอร์
    2. ในส่วนเมนูแบบเลื่อนลง Anti-Banner คลิกปุ่ม เปิดใช้งาน
  3. เลื่อนเคอร์เซอร์เมาส์ไปเหนือแบนเนอร์ที่คุณต้องการบล็อก และคลิกขวา
  4. ในเมนูบริบทที่เปิดนั้น ให้เลือก เพิ่มลงใน Anti-Banner

    หน้าต่าง เพิ่มแบนเนอร์ที่ถูกบล็อก จะเปิดขึ้น

  5. ในหน้าต่าง เพิ่มแบนเนอร์ที่ถูกบล็อก ให้คลิกปุ่ม เพิ่ม

    URL ของแบนเนอร์จะถูกเพิ่มในรายการแบนเนอร์ที่ถูกบล็อก

  6. รีเฟรชหน้าเว็บในเบราเซอร์เพื่อหยุดการแสดงแบนเนอร์

แบนเนอร์จะไม่แสดงเมื่อคุณเข้าเยี่ยมชมหน้าเว็บในครั้งต่อไป

วิธีบล็อกแบนเนอร์ในแอปพลิเคชัน Kaspersky

ในการบล็อกแบนเนอร์ในแอปพลิเคชัน Kaspersky:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. เลือกส่วนการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  4. เลือกส่วนประกอบ Anti-Banner

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า Anti-Banner

  5. เปิดใช้งานส่วนประกอบ Anti-Banner ด้วยการคลิกปุ่มเปลี่ยนที่ส่วนบนของหน้าต่าง
  6. ในหน้าต่าง การตั้งค่า Anti-Banner คลิกลิงก์ แบนเนอร์ที่ถูกบล็อก เพื่อเปิดหน้าต่าง แบนเนอร์ที่ถูกบล็อก
  7. ในหน้าต่าง แบนเนอร์ที่ถูกบล็อก คลิกปุ่ม เพิ่ม
  8. ในหน้าต่างที่เปิดขึ้น ในช่อง มาสก์ที่อยู่เว็บ (URL) ให้ป้อนที่อยู่หรือมาสก์ที่อยู่ของแบนเนอร์
  9. ระบุสถานะ ใช้งานอยู่ ให้เป็นสถานะของแบนเนอร์นี้
  10. คลิกปุ่มตกลง

แอปพลิเคชัน Kaspersky จะบล็อกแบนเนอร์ที่ระบุ

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 127257]

การอนุญาตแบนเนอร์

ขยายทั้งหมด | ยุบทั้งหมด

คุณสามารถอนุญาตแบนเนอร์แต่ละรายการ รวมถึงแบนเนอร์ทั้งหมดบนเว็บไซต์ที่คุณระบุไว้

วิธีอนุญาตแบนเนอร์แต่ละรายการ

การอนุญาตแบนเนอร์แต่ละรายการ:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. เลือกส่วนการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  4. เลือกส่วนประกอบ Anti-Banner

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า Anti-Banner

  5. เปิดใช้งานส่วนประกอบ Anti-Banner ด้วยการคลิกปุ่มเปลี่ยนที่ส่วนบนของหน้าต่าง
  6. ในหน้าต่าง การตั้งค่า Anti-Banner คลิกลิงก์ เว็บไซต์พร้อมแบนเนอร์ที่อนุญาต เพื่อเปิดหน้าต่าง เว็บไซต์พร้อมแบนเนอร์ที่อนุญาต
  7. ในหน้าต่าง เว็บไซต์พร้อมแบนเนอร์ที่อนุญาต คลิกปุ่ม เพิ่ม
  8. ในหน้าต่างที่เปิดขึ้น ในช่อง เว็บไซต์ ให้ป้อนที่อยู่หรือมาสก์ที่อยู่ของแบนเนอร์
  9. เลือกสถานะ ใช้งานอยู่
  10. คลิกปุ่มตกลง

แอปพลิเคชัน Kaspersky จะไม่บล็อกแบนเนอร์ที่ระบุไว้

ถ้าแบนเนอร์ถูกเพิ่มเข้าไปในรายการของแบนเนอร์ที่อนุญาต แต่แบนเนอร์อยู่ในการบล็อกโฆษณาซึ่งทำให้แบนเนอร์ถูกบล็อกโดย Anti-Banner บนเว็บไซต์ แบนเนอร์จะถูกบล็อกไปพร้อมกับโฆษณาที่ถูกบล็อก

วิธีอนุญาตทุกแบนเนอร์บนเว็บไซต์

การอนุญาตทุกแบนเนอร์บนเว็บไซต์:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. เลือกส่วนการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  4. เลือกส่วนประกอบ Anti-Banner

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า Anti-Banner

  5. เปิดใช้งานส่วนประกอบ Anti-Banner ด้วยการคลิกปุ่มเปลี่ยนที่ส่วนบนของหน้าต่าง
  6. ในหน้าต่าง การตั้งค่า Anti-Banner คลิกลิงก์ เว็บไซต์พร้อมแบนเนอร์ที่อนุญาต เพื่อเปิดหน้าต่าง เว็บไซต์พร้อมแบนเนอร์ที่อนุญาต
  7. ในหน้าต่าง เว็บไซต์พร้อมแบนเนอร์ที่อนุญาต คลิกปุ่ม เพิ่ม
  8. ในหน้าต่างที่เปิด ในช่อง เว็บไซต์ ป้อน URL เช่น example.com
  9. เลือกสถานะ ใช้งานอยู่
  10. คลิกปุ่มตกลง

เว็บไซต์จะถูกเพิ่มในรายการของเว็บไซต์พร้อมแบนเนอร์ที่อนุญาต Kaspersky จะไม่บล็อกแบนเนอร์บนเว็บไซต์จากรายการนี้ แม้จะแบนเนอร์จะถูก เพิ่มในรายการแบนเนอร์ที่ถูกบล็อก

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 127277]

วิธีกำหนดค่าตัวกรอง Anti-Banner

การกำหนดค่าตัวกรอง Anti-Banner

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. เลือกส่วนการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  4. เลือกส่วนประกอบ Anti-Banner

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า Anti-Banner

  5. เปิดใช้งานส่วนประกอบ Anti-Banner ด้วยการคลิกปุ่มเปลี่ยนที่ส่วนบนของหน้าต่าง
  6. คลิกที่ลิงก์ รายการตัวกรอง เพื่อเปิดหน้าต่าง รายการตัวกรอง
  7. ในหน้าต่าง รายการตัวกรอง ให้กำหนดค่าตัวกรองตามความจำเป็น:
    • แนะนำ. กลุ่มนี้รวมถึงตัวกรองทั่วไปและตัวกรองภาษาที่สัมพันธ์กับภูมิภาคของคุณ ตัวกรองเหล่านี้ถูกเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้น
    • ใจความสำคัญ. กลุ่มนี้มีตัวกรองสองตัว:
      • โซเชียลมีเดีย เปิดใช้งานตัวกรองนี้หากคุณต้องการบล็อกรายการต่างๆ เช่น ปุ่มถูกใจและแชร์บนเว็บไซต์ของโซเชียลเน็ตเวิร์ค
      • สิ่งรบกวน เปิดใช้งานตัวกรองนี้หากคุณต้องการบล็อกข้อความป็อปอัป หน้าต่าง และองค์ประกอบอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นของเว็บไซต์
    • เฉพาะภาษา. ในกลุ่มของตัวกรอง คุณสามารถเลือกภาษาได้ แอปพลิเคชันจะบล็อกแบนเบอร์บนเว็บไซต์ในภาษาที่ระบุ

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 149074]

วิธีการจัดการ Anti-Banner ในเบราเซอร์

คุณสามารถจัดการส่วนประกอบ Anti-Banner ได้โดยตรงในเบราเซอร์โดยใช้ส่วนขยาย Kaspersky Protection

ส่วนขยายของ Kaspersky Protection จะช่วยให้คุณดำเนินการดังต่อไปนี้:

  • เปิดใช้และปิดใช้ส่วนประกอบ
  • ดูสถิติสำหรับแบนเนอร์ที่ถูกบล็อก
  • ไปที่หน้าต่างการตั้งค่า Anti-Banner
  • ดูข้อมูลว่าแบนเนอร์ที่ถูกบล็อกบนเว็บไซต์จะถูกเปิดในเบราเซอร์และทำการแสดงแบนเนอร์บนเว็บไซต์หรือไม่

วิธีจัดการส่วนประกอบของ Anti-Banner ผ่านส่วนขยายของ Kaspersky Protection

การจัดการส่วนประกอบของ Anti-Banner ผ่านส่วนขยายของ Kaspersky Protection:

คลิกปุ่ม Green shield with a white tick Kaspersky Protection บนแถบเครื่องมือของเบราเซอร์

เมนูที่เปิดขึ้นจะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของส่วนประกอบและการควบคุมส่วนประกอบ

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 127231]

ตัวบล็อกการติดตั้งแอปที่ไม่ต้องการ

บางครั้ง คุณกำลังติดตั้งโปรแกรมเพียงเพื่อจะทราบในภายหลังว่าคุณได้ติดตั้งแอปพลิเคชั่นอีกหลายตัวที่คุณไม่ต้องการ ซึ่งมากับกับแอพพลิเคชั่นที่คุณต้องการติดตั้ง คุ้นๆ มั้ย แอปพลิเคชันที่คุณไม่ต้องการเหล่านี้ถูกการติดตั้งเองโดยที่คุณไม่รับรู้และอาจส่งสแปมถึงคุณด้วยโฆษณา หรือแม้แต่เปลี่ยนเบราว์เซอร์เริ่มต้นของคุณ

การเปิดใช้งาน ตัวบล็อกการติดตั้งแอปที่ไม่ต้องการ ในส่วน ความเป็นส่วนตัว จะช่วยขจัดปัญหานี้อย่างสิ้นซาก ตัวบล็อกการติดตั้งแอปที่ไม่ต้องการจะล้างช่องทำเครื่องหมายสำหรับแอปพลิเคชันเพิ่มเติมที่แนะนำสำหรับการติดตั้งโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้คุณไม่ต้องลำบากในการยกเลิกการเลือกด้วยตัวเอง

คุณยังสามารถเปิดใช้งานตัวบล็อกการติดตั้งแอพที่ไม่ต้องการในหน้าต่างการตั้งค่า ตัวจัดการแอปพลิเคชัน

ในการทำเช่นนี้ ให้เลือกช่องทำเครื่องหมาย ระหว่างการติดตั้งแอปพลิเคชัน ล้างกล่องทำเครื่องหมายสำหรับการติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติมโดยอัตโนมัติ เตือนเกี่ยวกับความพยายามในการติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม

ตัวบล็อกการติดตั้งแอปที่ไม่ต้องการอาจไม่รองรับทุกแอปพลิเคชันที่สามารถติดตั้งได้ แอปพลิเคชันที่ติดตั้งได้ไม่รองรับ จะไม่สามารถบล็อกการติดตั้งแอพที่ไม่ต้องการได้ ผู้เชี่ยวชาญของกำลังเพิ่มรายชื่อแอปพลิเคชันที่ติดตั้งได้ที่รองรับอย่างต่อเนื่อง

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 222845]

วิธีการเปลี่ยนการตั้งค่าตัวจัดการแอปพลิเคชัน

สามารถเลือกใช้งานได้เฉพาะใน Kaspersky Standard, Kaspersky Plus และ Kaspersky Premium เท่านั้น

การเปลี่ยนการตั้งค่าตัวจัดการแอปพลิเคชัน:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. เลือกส่วนความเป็นส่วนตัว
  3. ในบล็อก ตัวบล็อกการติดตั้งแอปที่ไม่ต้องการ ให้คลิก การตั้งค่า

    ซึ่งจะพาคุณไปที่หน้าต่าง การตั้งค่าตัวจัดการแอปพลิเคชัน

  4. ในกลุ่มการตั้งค่า ตัวบล็อกการติดตั้งแอปที่ไม่ต้องการ ให้เลือกช่องทำเครื่องหมาย ระหว่างการติดตั้งแอปพลิเคชัน ล้างกล่องทำเครื่องหมายสำหรับการติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติมโดยอัตโนมัติ เตือนเกี่ยวกับความพยายามในการติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม เพื่อบล็อกการติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติมระหว่างการติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่ หากมีการดำเนินการที่ไม่ต้องการถูกป้องกันในระหว่างการติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะแจ้งให้คุณทราบ

    หากไม่เลือกช่องทำเครื่องหมาย ระหว่างการติดตั้งแอปพลิเคชัน ล้างกล่องทำเครื่องหมายสำหรับการติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติมโดยอัตโนมัติ เตือนเกี่ยวกับความพยายามในการติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม หลังจากที่คุณเริ่มการติดตั้งแอปพลิเคชันแล้ว ตัวบล็อกการติดตั้งแอปที่ไม่ต้องการจะดำเนินการต่อไปตลอดระยะเวลาการติดตั้งปัจจุบัน ช่องทำเครื่องหมายตรงข้ามกับแอปพลิเคชันที่เสนอเป็นการติดตั้งเพิ่มเติมนั้นถูกล้างแล้ว และแอปพลิเคชันเพิ่มเติมดังกล่าวไม่ได้รับการติดตั้ง ความสามารถในการทำงานนี้จะถูกปิดใช้ระหว่างการติดตั้งครั้งถัดไป จะมีการติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติมพร้อมกับแอปพลิเคชันหลัก

  5. เลือกช่องทำเครื่องหมาย ห้ามแสดงขั้นตอนการติดตั้งที่อาจมีการโฆษณาและข้อเสนอในการติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม เพื่อบล็อกการแสดงขั้นตอนการติดตั้งที่ประกอบด้วยโฆษณาระหว่างการติดตั้งซอฟต์แวร์ใหม่ในคอมพิวเตอร์ หากขั้นตอนการติดตั้งดังกล่าวถูกนำออก แอปพลิเคชัน Kaspersky จะแจ้งให้คุณทราบ

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 95482]

ตัวลบ Adware

มันน่ารำคาญใช่มั้ย เวลาคุณได้รับโฆษณามากมาย แอปพลิเคชัน Kaspersky สามารถลบแอปที่แสดงโฆษณาในเบราเซอร์และบนเดสก์ท็อปออกจากพีซีของคุณได้ นอกจากแอดแวร์แล้ว เรายังจะลบเครื่องมือโทรอัตโนมัติและไฟล์ที่ถูกบีบอัดต้องสงสัยที่อาจมีไวรัสและภัยคุกคามอื่นๆ ออกด้วย เปิดใช้งาน ตัวลบ Adware เพื่อไม่ต้องเห็นโฆษณาที่น่ารำคาญอีกต่อไป

ในการลบ Adware:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. เปิดฟังก์ชั่น ตัวลบ Adware

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 222846][Topic 84581]

เกี่ยวกับที่เก็บนิรภัย

สามารถเลือกใช้งานได้เฉพาะใน Kaspersky Plus และ Kaspersky Premium เท่านั้น

ที่เก็บนิรภัยได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันข้อมูลส่วนตัวของคุณจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต ที่เก็บนิรภัยคือพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่คุณสามารถล็อกหรือปลดล็อกโดยใช้รหัสผ่านที่คุณเท่านั้นที่รู้ คุณต้องป้อนรหัสผ่านเพื่อแก้ไขไฟล์ที่จัดเก็บในที่เก็บนิรภัยที่ล็อกอยู่ ถ้าคุณป้อนรหัสผ่านไม่ถูกต้อง 10 ครั้งติดต่อกัน การเข้าถึงที่เก็บนิรภัยจะถูกบล็อกเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง

ถ้าคุณลืมหรือทำรหัสผ่านหาย คุณจะไม่สามารถกู้ข้อมูลของคุณกลับมาได้

เพื่อสร้างที่เก็บนิรภัย แอปพลิเคชัน Kaspersky จะใช้อัลกอริทึมการเข้ารหัสข้อมูล AES XTS ด้วยคีย์ที่มีประสิทธิภาพความยาว 56 บิต

หากระบบไฟล์ FAT32 ใช้งานบนคอมพิวเตอร์ของคุณ คุณสามารถสร้างที่เก็บนิรภัยขนาดไม่เกิน 4 GB ได้

ดูเพิ่ม:

วิธีการย้ายไฟล์ไปยังที่เก็บนิรภัย

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 84966]

วิธีการย้ายไฟล์ไปยังที่เก็บนิรภัย

ขยายทั้งหมด | ยุบทั้งหมด

การย้ายไฟล์ไปยังที่เก็บนิรภัย

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. ในส่วน ที่เก็บนิรภัย ให้ดำเนินการใดๆ ดังต่อไปนี้:

ถ้าคุณยังไม่มีที่เก็บนิรภัย:

  1. คลิก สร้างคลังข้อมูล.
  2. ในหน้าต่าง ที่เก็บนิรภัย ให้คลิก เพิ่ม และเลือกไฟล์ใน Windows Explorer หรือลากและวางไฟล์ลงในหน้าต่างแอปพลิเคชัน Kaspersky

    ไฟล์ที่เลือกจะแสดงในหน้าต่าง ที่เก็บนิรภัย

  3. คลิก ดำเนินการต่อ.
  4. ใส่ชื่อและระบุตำแหน่งที่เก็บนิรภัยหรือใช้ค่าเริ่มต้นของการตั้งค่าเหล่านี้
  5. ป้อนขนาดของที่เก็บนิรภัย
  6. เพื่อเข้าถึงที่เก็บนิรภัยได้อย่างรวดเร็ว ให้เลือกช่องทำเครื่องหมาย สร้างทางลัดบนเดสก์ท็อปสำหรับที่เก็บนิรภัย
  7. คลิก ดำเนินการต่อ.
  8. กรอกช่อง รหัสผ่านในการเข้าถึงที่เก็บนิรภัย และ ยืนยันรหัสผ่าน และคลิก ดำเนินการต่อ
  9. เลือกว่าต้องการทำอย่างไรกับสำเนาแหล่งของไฟล์นอกที่เก็บนิรภัย:
    • ในการลบสำเนาแหล่งของไฟล์นอกที่เก็บนิรภัย ให้คลิก ลบ
    • ในการเก็บสำเนาแหล่งของไฟล์นอกที่เก็บนิรภัย ให้คลิก ข้าม
  10. คลิก เสร็จสิ้น.

    รายชื่อของที่เก็บนิรภัยจะแสดงที่เก็บนิรภัยที่คุณเพิ่งสร้างขึ้น

  11. การล็อกที่เก็บนิรภัย ให้คลิกปุ่ม ล็อก

    ข้อมูลในที่เก็บนิรภัยที่ล็อกแล้วจะสามารถเลือกใช้งานได้หลังจากใส่รหัสผ่านแล้วเท่านั้น

หากคุณมีที่เก็บนิรภัยอยู่แล้ว

  1. คลิกที่ลิงก์ ฉันมีที่เก็บนิรภัยอยู่แล้ว เพื่อเปิดหน้าต่าง ที่เก็บนิรภัย
  2. ในหน้าต่าง ที่เก็บนิรภัย ให้เลือกโฟลเดอร์ลับของคุณแล้วคลิก ปลดล็อก
  3. ป้อนรหัสผ่านและคลิก เปิดใน Windows Explorer

    ซึ่งจะเปิดที่เก็บนิรภัยใน Windows Explorer

  4. ย้ายไฟล์ของคุณไปที่ที่เก็บนิรภัย
  5. ปิดหน้าต่าง Windows Explorer
  6. ในอินเทอร์เฟซแอปพลิเคชัน Kaspersky ในหน้าต่าง ที่เก็บนิรภัย ให้คลิก ล็อก

เมื่อเพิ่มไฟล์ที่มีชื่อเหมือนกัน ซึ่งต่างกันเพียงตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่ เข้าไปในที่เก็บนิรภัย ไฟล์ใดไฟล์หนึ่งอาจไม่สามารถเลือกใช้งานได้เมื่อพยายามเปิดที่เก็บนิรภัย เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญหายของข้อมูล เราขอแนะนำให้เพิ่มไฟล์เหล่านั้นไปยังที่เก็บนิรภัยที่แตกต่างกัน หรือเปลี่ยนชื่อไฟล์ไปเป็นชื่อที่เฉพาะ

ดูเพิ่ม:

วิธีการเข้าถึงไฟล์ที่จัดเก็บไว้ในที่เก็บนิรภัย

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 84611]

วิธีการเข้าถึงไฟล์ที่จัดเก็บไว้ในที่เก็บนิรภัย

หากต้องการเข้าถึงไฟล์ที่จัดเก็บไว้ในที่เก็บนิรภัย

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. ในบล็อก ที่เก็บนิรภัย คลิกที่ปุ่ม ฉันมีที่เก็บนิรภัยอยู่แล้ว

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง ที่เก็บนิรภัย

  4. คลิก ปลดล็อก ที่อยู่ถัดจากที่เก็บนิรภัยของคุณ
  5. ป้อนรหัสผ่านและคลิกปุ่ม เปิดใน Windows Explorer

ไฟล์ที่เก็บไว้ในที่เก็บนิรภัยจะปรากฏในหน้าต่าง Explorer คุณสามารถแก้ไขไฟล์ได้ตามต้องการหรือเพิ่มไฟล์ใหม่และปิดที่เก็บนิรภัยได้อีกครั้ง

การพยายามเปิดที่เก็บนิรภัยที่คุณเปลี่ยนชื่ออาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ เราขอแนะนำให้คุณเปิดที่เก็บนิรภัยที่คุณต้องการแก้ไขชื่อ แตกไฟล์ข้อมูลของคุณ และสร้างที่เก็บนิรภัยใหม่ด้วยข้อมูลนี้โดยตั้งชื่อที่ต่างออกไป

บางครั้งการเปิดที่เก็บนิรภัยที่สร้างในแอปพลิเคชัน Kaspersky อื่นๆ อาจจำเป็นต้องแปลงที่เก็บนิรภัยจากรูปแบบเก่าเป็นรูปแบบใหม่ เมื่อคุณพยายามเปิดที่เก็บนิรภัยในอินเทอร์เฟซแอปพลิเคชัน Kaspersky แอปพลิเคชัน Kaspersky จะแนะนำการแปลงหากจำเป็น

การแปลงที่เก็บนิรภัยให้เป็นรูปแบบใหม่อาจใช้เวลานาน ขึ้นอยู่กับขนาดของคลังข้อมูล

หากเมื่อลบแอปพลิเคชัน Kaspersky ในหน้าต่าง บันทึกข้อมูลต่อไปนี้ในคอมพิวเตอร์เพื่อการนำกลับมาใช้ ไม่ได้เลือกช่องทำเครื่องหมาย การตั้งค่าการดำเนินการของแอปพลิเคชัน และเลือกช่องทำเครื่องหมาย ที่เก็บนิรภัย ครั้งต่อไปที่คุณติดตั้งแอปพลิเคชัน Kaspersky เวอร์ชันปัจจุบันหรือในอนาคต คุณจะต้องเพิ่มที่เก็บนิรภัยด้วยตนเองโดยคลิกลิงก์ ฉันมีที่เก็บนิรภัยอยู่แล้ว ในหน้าต่าง ที่เก็บนิรภัย

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 84612]

File Shredder

สามารถเลือกใช้งานได้เฉพาะใน Kaspersky Plus และ Kaspersky Premium เท่านั้น

เพิ่มความปลอดภัยสำหรับข้อมูลส่วนบุคคลด้วยการป้องกันข้อมูลที่ลบแล้วจากการกู้คืนโดยแฮกเกอร์

แอปพลิเคชัน Kaspersky มีเครื่องมือลบข้อมูลถาวรซึ่งทำให้ไม่สามารถกู้ข้อมูลโดยใช้เครื่องมือซอฟต์แวร์มาตรฐานได้

แอปพลิเคชัน Kaspersky ทำให้สามารถลบข้อมูลโดยไม่ต้องกู้คืนมาจากตัวกลางข้อมูลต่อไปนี้ได้:

  • ไดรฟ์ภายในเครื่อง คุณสามารถลบได้ถ้าคุณมีสิทธิ์ในการเขียนและลบข้อมูล
  • ไดรฟ์แบบถอดได้หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ถือว่าเป็นไดรฟ์แบบถอดได้ (อย่างเช่น ฟล็อปปีดิสก์ การ์ดหน่วยความจำ USB ดิสก์ หรือโทรศัพท์มือถือ) สามารถลบข้อมูลจากการ์ดหน่วยความจำได้ถ้ากลไกการป้องกันการเขียนซ้ำถูกปิดใช้อยู่

คุณสามารถลบข้อมูลที่คุณสามารถเข้าใช้ได้ภายใต้บัญชีผู้ใช้ของคุณ ก่อนลบข้อมูล ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่ไม่ใช้ข้อมูลนั้น

ในการลบข้อมูลอย่างถาวร:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. ในบล็อก File Shredder คลิกที่ปุ่ม เลือกไฟล์

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง File Shredder

  4. คลิกปุ่ม เรียกดู และในหน้าต่าง เลือกไฟล์ที่จะลบ ที่เปิดอยู่ ให้เลือกโฟลเดอร์หรือไฟล์ที่จะลบแบบถาวร

    การลบไฟล์และโฟลเดอร์ระบบอาจทำให้ระบบปฏิบัติการผิดปกติ

  5. ในรายการแบบเลื่อนลง วิธีการลบข้อมูล ให้เลือกอัลกอริธึมการลบข้อมูลที่สำคัญ

    การลบข้อมูลจากอุปกรณ์ SSD และ USB แนะนำให้ดำเนินการแบบ การลบแบบเร็ว (แนะนำ) หรือ GOST R 50739-95, รัสเซีย วิธีการลบอื่นๆ อาจทำให้อุปกรณ์ SSD หรือ USB เสียหายได้

    • การลบแบบเร็ว (แนะนำ). กระบวนการลบประกอบด้วยการเขียนข้อมูลทับสองรอบ: เขียนข้อมูลเลขศูนย์ และเลขสุ่มเทียม ข้อดีหลักของอัลกอริธึมนี้คือประสิทธิภาพ การลบแบบเร็วป้องกันการกู้คืนข้อมูลด้วยเครื่องมือกู้ข้อมูลมาตรฐาน
    • GOST R 50739-95, รัสเซีย. อัลกอริธึมนี้ดำเนินการเขียนข้อมูลทับหนึ่งรอบด้วยการเขียนข้อมูลเลขสุ่มเทียมและป้องกันข้อมูลจากการกู้คืนด้วยเครื่องมือทั่วไป อัลกอริธึมนี้เป็นการป้องกันระดับ 2 (จาก 6 ระดับ) ตามการจัดระดับโดยคณะกรรมการเทคนิครัสเซีย
    • อัลกอริทึม Bruce Schneier. กระบวนการประกอบด้วยการเขียนข้อมูลทับเจ็ดรอบ วิธีการนี้แตกต่างจาก VSITR ของเยอรมนีในด้านของลำดับการเขียนข้อมูลทับ วิธีการลบข้อมูลที่ปรับปรุงขึ้นได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุด
    • มาตรฐาน VSITR, เยอรมนี. ดำเนินการด้วยการเขียนข้อมูลทับเจ็ดรอบ อัลกอริธึมนี้ได้รับการยอมรับว่าน่าเชื่อถือ แต่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการมาก
    • มาตรฐาน NAVSO P-5239-26 (MFM), สหรัฐฯ และ มาตรฐาน NAVSO P-5239-26 (RLL), สหรัฐฯ ดำเนินการด้วยการเขียนข้อมูลทับสามรอบ มาตรฐานชุดนี้แตกต่างในด้านของลำดับที่พวกมันเขียนทับข้อมูล
    • มาตรฐาน DoD 5250.22-M, สหรัฐฯ. อัลกอริธึมดำเนินการเขียนข้อมูลทับสามรอบ มาตรฐานนี้ถูกใช้โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ
  6. คลิก ลบ.
  7. ในหน้าต่างยืนยันการลบที่เปิด ให้คลิก ลบ

ไฟล์ที่กำลังถูกใช้อยู่โดยแอปพลิเคชันภายนอกจะไม่สามารถลบได้

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 84522]

ตัวทำความสะอาดข้อมูลส่วนตัว

การดำเนินการบนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้จะถูกบันทึกไว้ในระบบปฏิบัติการ ข้อมูลต่อไปนี้จะถูกบันทึก:

  • รายละเอียดการสืบค้นข้อมูลที่ป้อนโดยผู้ใช้และเว็บไซต์ที่เข้าเยี่ยม
  • ข้อมูลเกี่ยวกับแอปพลิเคชันที่เริ่มต้นแล้ว รวมถึงไฟล์ที่เปิดและบันทึกด้วย
  • บันทึกเหตุการณ์​ต่างๆ บน Microsoft Windows
  • ข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับกิจกรรมผู้ใช้

ผู้บุกรุกและบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตอาจสามารถเข้าถึงข้อมูลความลับที่เป็นข้อมูลการดำเนินการในอดีตของผู้ใช้

แอปพลิเคชันประกอบด้วย:

  • ตัวช่วยทำความสะอาดข้อมูลส่วนตัวซึ่งสามารถล้างการติดตามกิจกรรมผู้ใช้ในระบบปฏิบัติการได้
  • ตัวช่วยคืนค่าการตั้งค่าซึ่งจะย้อนกลับการเปลี่ยนแปลงที่ตัวช่วยทำความสะอาดข้อมูลส่วนตัวดำเนินการไว้ก่อนหน้านี้ ตัวเลือกนี้สามารถเลือกใช้งานได้ ถ้าการติดตามกิจกรรมได้ถูกนำออกโดยตัวช่วยไว้ก่อนแล้ว

การเรียกใช้งานตัวช่วยทำความสะอาดข้อมูลส่วนตัว:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. ในบล็อก ตัวทำความสะอาดข้อมูลส่วนตัว คลิกที่ปุ่ม ค้นหา
  4. จากนั้น คุณจะถูกขอให้ปิดหน้าต่างเบราเซอร์ทั้งหมดและดำเนินการต่อ
  5. ตัวช่วยจะทำการค้นหาการติดตามกิจกรรมบนคอมพิวเตอร์ของคุณ ซึ่งอาจใช้เวลาสักครู่ เมื่อการค้นหาเสร็จสมบูรณ์ ตัวช่วยจะไปที่ขั้นตอนต่อไปโดยอัตโนมัติ
  6. หากคุณต้องการเปิดการลบการติดตามกิจกรรมโดยอัตโนมัติ ให้เลื่อนปุ่มสลับ การลบการติดตามกิจกรรมโดยอัตโนมัติ เป็น เปิด สร้างกำหนดการสำหรับเซสชั่นการล้าง และระบุบัญชีและรหัสผ่าน Windows ของคุณ
  7. ระบุข้อมูลที่ต้องการลบออกในบล็อก เลือกการดำเนินการ และคลิกปุ่ม บันทึกและลบออก หรือปุ่ม นำออก หากคุณไม่ได้เปลี่ยนรายการการดำเนินการ

    ในการดูการดำเนินการที่ถูกรวมอยู่ในกลุ่ม ให้รวมรายการของกลุ่มที่เลือก หากต้องการให้ตัวช่วยการติดตั้งดำเนินการบางอย่าง โปรดเลือกช่องทำเครื่องหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการนั้น ตามค่าเริ่มต้น ตัวช่วยนี้จะดำเนินการทุกคำแนะนำ รวมถึงคำแนะนำที่สำคัญยิ่ง ถ้าคุณไม่ต้องการให้ทำตามการดำเนินการบางอย่าง ให้ล้างช่องทำเครื่องหมายที่อยู่ถัดจากการดำเนินการ

    ขอแนะนำให้คุณอย่ายกเลิกการเลือกช่องทำเครื่องหมายที่เลือกไว้ตามค่าเริ่มต้น เนื่องจากการทำเช่นนั้นจะทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณเสี่ยงต่อภัยคุกคาม

  8. ตัวช่วยจะดำเนินการตามรายการที่เลือกในขั้นตอนก่อนหน้า การล้างการติดตามกิจกรรมอาจต้องใช้เวลาสักครู่ ในการล้างการติดตามกิจกรรมอาจจำเป็นต้องรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ และถ้าต้องทำเช่นนั้น ตัวช่วยจะแจ้งให้คุณทราบ

การเรียกใช้งานตัวช่วยคืนค่าการตั้งค่า:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. ไปที่ส่วน ความเป็นส่วนตัว
  3. ในบล็อก ตัวทำความสะอาดข้อมูลส่วนตัว คลิกที่ปุ่ม คืนค่าการตั้งค่า
  4. ตัวช่วยจะทำการค้นหาการตั้งค่าที่แก้ไข ซึ่งอาจใช้เวลาสักครู่ เมื่อการค้นหาเสร็จสมบูรณ์ ตัวช่วยจะไปที่ขั้นตอนต่อไปโดยอัตโนมัติ
  5. เลือกการตั้งค่าที่ต้องการคืนค่าแล้วคลิกปุ่ม คืนค่า
  6. จากนั้น คุณจะได้รับแจ้งว่าการดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ การดำเนินงานอาจใช้เวลาสักครู่ ในการคืนค่าการติดตามกิจกรรมอาจจำเป็นต้องรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ และถ้าต้องทำเช่นนั้น ตัวช่วยจะแจ้งให้คุณทราบ

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 70902]

การป้องกันโดยใช้การเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์

ในส่วนนี้คุณจะได้เรียนรู้วิธีที่คุณสามารถปกป้องคอมพิวเตอร์ของคุณโดยการใช้เวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์

ในส่วนนี้

เกี่ยวกับการป้องกันโดยการใช้เวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์

วิธีเปิดใช้งานการป้องกันโดยการใช้เวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 179968]

เกี่ยวกับการป้องกันโดยการใช้เวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์

เมื่อแอปพลิเคชัน Kaspersky ถูกติดตั้งใน Microsoft Windows 8, Microsoft Windows 8.1 หรือ Microsoft Windows 10 แบบ 64 บิต จะใช้เทคโนโลยี

สำหรับการป้องกันเพิ่มเติมต่อ Malware ที่ซับซ้อนที่อาจดักข้อมูลส่วนตัวของคุณโดยใช้คลิปบอร์ดหรือฟิชชิ่ง

การป้องกันโดยใช้การเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์ถูกเปิดใช้งานตามค่าเริ่มต้น ถ้าคุณปิดใช้การป้องกันด้วยตัวเอง คุณสามารถ เปิดใช้งานได้ในหน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชัน

ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน Microsoft Windows 8 Microsoft Windows 8.1 หรือ Microsoft Windows 10 แบบ 64 บิต การป้องกันที่จัดหาโดยการเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์ (Hypervisor) ของ Kaspersky มีข้อจำกัดต่อไปนี้:

  • คุณลักษณะนี้ไม่สามารถเลือกใช้งานได้เมื่อกำลังเรียกใช้งาน Hypervisor จากภายนอก เช่น Hypervisor ที่ใช้โดยซอฟต์แวร์การจำลองเสมือน VMware หลังคุณปิด Hypervisor จากภายนอก การป้องกันการถ่ายภาพหน้าจอจะกลับมาให้สามารถเลือกใช้งานได้อีกครั้ง
  • คุณลักษณะนี้ไม่สามารถเลือกใช้งานได้ถ้า CPU ในคอมพิวเตอร์ของคุณไม่สนับสนุนฮาร์ดแวร์ภาพเสมือน สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมว่า CPU ของคุณสนับสนุนฮาร์ดแวร์ภาพเสมือนหรือไม่ กรุณาอ้างอิงเอกสารที่ส่งไปพร้อมกับคอมพิวเตอร์ของคุณหรือที่เว็บไซต์ผู้ผลิต CPU
  • คุณลักษณะนี้ไม่สามารถเลือกใช้งานได้ถ้า Hypervisor (อย่างเช่น VMware) กำลังทำงานอยู่เมื่อคุณเริ่มใช้งานเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน
  • คุณลักษณะไม่พร้อมใช้งานหากการเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์ถูกปิดใช้งานบนคอมพิวเตอร์ของคุณ สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีเปิดใช้งานการเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์บนคอมพิวเตอร์ โปรดดูที่เอกสารประกอบทางเทคนิคหรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของผู้ผลิตโปรเซสเซอร์ของคุณ
  • คุณลักษณะนี้ไม่สามารถให้บริการได้หาก Device Guard ถูกเปิดใช้งานในระบบปฏิบัติการของ Microsoft Windows 10
  • คุณลักษณะนี้ไม่สามารถให้บริการได้หาก Virtualization Based Security (VBS) ถูกเปิดใช้งานในระบบปฏิบัติการของ Microsoft Windows 10
ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 83057]

วิธีเปิดใช้งานการป้องกันโดยการใช้เวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์

การเปิดใช้งานการป้องกันโดยใช้การเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. ไปที่ การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอินพุทข้อมูลอย่างปลอดภัย
  4. เลือกช่องทำเครื่องหมาย ใช้การเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์หากเลือกใช้งานได้ ช่องทำเครื่องหมายนี้จะแสดงเมื่อติดตั้งแอปพลิเคชันใน Windows 8 Windows 8.1 และ Windows 10 เวอร์ชัน 64 บิต
  5. เลือกช่องทำเครื่องหมาย ใช้คุณลักษณะขั้นสูงของการเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์ ถ้าคุณต้องการเปิดการเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์เมื่อระบบปฏิบัติการเริ่มต้น

    ความพร้อมใช้งานของตัวเลือกนี้ขึ้นอยู่กับว่ามีการติดตั้งไฮเปอร์ไวเซอร์การบูตบนคอมพิวเตอร์เครื่องนี้หรือไม่ รวมถึงขึ้นอยู่กับพารามิเตอร์การทำงานของไดรเวอร์ Kaspersky

หากการเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์ถูกปิดใช้งานบนคอมพิวเตอร์ของคุณ การป้องกันโดยใช้การเวอร์ชวลไลซ์ฮาร์ดแวร์จะถูกปิดใช้งาน

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 82967]

การป้องกันข้อมูลส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ต

ในส่วนนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทำให้การท่องอินเทอร์เน็ตของคุณปลอดภัย และป้องกันข้อมูลข้อมูลของคุณจากการโจรกรรม

ในส่วนนี้

เกี่ยวกับการป้องกันข้อมูลส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ต

เกี่ยวกับแป้นพิมพ์บนหน้าจอ

วิธีการเปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอ

วิธีการกำหนดค่าการแสดงผลของไอคอนแป้นพิมพ์บนหน้าจอ

เกี่ยวกับการป้องกันข้อมูลที่ป้อนทางแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์

วิธีการป้องกันข้อมูลที่ป้อนทางแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์

การตรวจสอบเว็บไซต์เพื่อความปลอดภัย

วิธีการเปลี่ยนการตั้งค่าการเชื่อมต่อที่เข้ารหัส

เกี่ยวกับการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยกับเครือข่าย Wi-Fi

การกำหนดค่าการแจ้งเตือนช่องโหว่ในเครือข่าย Wi-Fi

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 70892]

เกี่ยวกับการป้องกันข้อมูลส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ต

แอปพลิเคชัน Kaspersky ช่วยคุณป้องกันข้อมูลส่วนตัวของคุณจากการโจรกรรม:

  • รหัสผ่าน ชื่อผู้ใช้ และข้อมูลการลงทะเบียนอื่นๆ
  • หมายเลขบัญชีผู้ใช้และเลขที่บัญชีธนาคาร

แอปพลิเคชัน Kaspersky มีองค์ประกอบและเครื่องมือที่ช่วยให้คุณป้องกันข้อมูลส่วนตัวของคุณจากการโจรกรรมโดยคนร้ายซึ่งใช้วิธีการอย่างเช่น

และการดักข้อมูลที่ป้อนผ่านแป้นพิมพ์

การป้องกันฟิชชิ่งจะปกป้องคุณจากการฟิชชิ่ง ซึ่งถูกนำมาใช้ในส่วนประกอบของการเรียกดูอย่างปลอดภัย เปิดใช้องค์ประกอบเหล่านี้เพื่อรับรองการป้องกันอย่างครอบคลุมจากฟิชชิ่ง

การป้องกันจากการดักข้อมูลที่ป้อนผ่านแป้นพิมพ์ทำงานโดยแป้นพิมพ์บนหน้าจอและอินพุทผ่านแป้นพิมพ์อย่างปลอดภัย

ตัวช่วยทำความสะอาดข้อมูลส่วนตัวจะล้างข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับกิจกรรมของผู้ใช้จากคอมพิวเตอร์

Safe Money และ Kaspersky VPN จะป้องกันข้อมูลเมื่อคุณใช้บริการธนาคารบนอินเทอร์เน็ตและซื้อสินค้าบนร้านค้าออนไลน์

ฟังก์ชัน Kaspersky VPN ไม่สามารถใช้งานได้ในบางภูมิภาค

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 82527]

เกี่ยวกับแป้นพิมพ์บนหน้าจอ

เมื่อใช้อินเทอร์เน็ต หลายครั้งที่คุณจะต้องป้อนข้อมูลส่วนตัวหรือชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ตัวอย่างเช่น ระหว่างการลงทะเบียนบัญชีผู้ใช้บนเว็บไซต์, การซื้อของออนไลน์ และการทำธุรกรรมธนาคารทางอินเทอร์เน็ต

ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงต่อการที่ข้อมูลส่วนตัวจะถูกดักจับโดยอุปกรณ์ดักจับทางแป้นพิมพ์ฮาร์ดแวร์หรือ Keylogger ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จะบันทึกจังหวะการเคาะแป้นพิมพ์ แป้นพิมพ์บนหน้าจอจะช่วยป้องกันการดักข้อมูลที่ป้อนผ่านแป้นพิมพ์

มีจำพวก spyware หลายโปรแกรมที่สามารถบันทึกหน้าจอได้ ซึ่งหลังจากนั้นก็จะส่งข้อมูลไปให้ผู้บุกรุกโดยอัตโนมัติเพื่อทำการวิเคราะห์เพิ่มเติมในการขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ แป้นพิมพ์บนหน้าจอช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวที่ป้อนเข้าไปถูกดักจับด้วยวิธีการบันทึกหน้าจอ

แป้นพิมพ์บนหน้าจอมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้:

  • คุณสามารถคลิกปุ่มแป้นพิมพ์บนหน้าจอด้วยเมาส์ได้
  • ส่วนที่แตกต่างจากแป้นพิมพ์ที่เป็นฮาร์ดแวร์นั้นก็คือ แป้นพิมพ์บนหน้าจอจะไม่สามารถกดหลายปุ่มพร้อมกันได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการคีย์หลายปุ่มรวมกัน (เช่น ALT+F4) ต้องคลิกปุ่มแรกก่อน (ตัวอย่างเช่น ALT) จากนั้นคลิกปุ่มที่สอง (ตัวอย่างเช่น F4) แล้วหลังจากนั้นก็คลิกปุ่มแรกอีกครั้ง การคลิกปุ่มครั้งที่สองดังกล่าวนั้นจะทำในจังหวะเดียวกับที่กำลังจะปล่อยมือจากการคลิกบนแป้นพิมพ์ฮาร์ดแวร์
  • ภาษาบนแป้นพิมพ์บนหน้าจอสามารถเปลี่ยนได้โดยการใช้พาธลัดเดียวกันที่ระบุโดยการตั้งค่าระบบปฏิบัติการสำหรับแป้นพิมพ์ฮาร์ดแวร์ โดยคลิกขวาที่ปุ่มอื่น (ตัวอย่างเช่น ถ้าพาธลัด LEFT ALT+SHIFT ถูกกำหนดค่าในการตั้งค่าระบบปฏิบัติการสำหรับเปลี่ยนภาษาที่แป้นพิมพ์ คลิกซ้ายที่คีย์ LEFT ALT แล้วจากนั้นคลิกขวาที่คีย์ SHIFT)

การใช้แป้นพิมพ์บนหน้าจอมีข้อจำกัดดังต่อไปนี้:

  • แป้นพิมพ์บนหน้าจอจะช่วยป้องกันการดักข้อมูลส่วนตัวเมื่อใช้ร่วมกับเบราเซอร์Chromium-based Microsoft Edge, Mozilla Firefox หรือ Google Chrome เท่านั้น เมื่อใช้กับเบราเซอร์อื่นๆ แป้นพิมพ์บนหน้าจอจะไม่ป้องกันข้อมูลส่วนตัวที่ป้อนจากการดักข้อมูล
  • แป้นพิมพ์บนหน้าจอไม่สามารถป้องกันข้อมูลส่วนตัวของคุณได้ถ้าเว็บไซต์ที่คุณต้องป้อนข้อมูลนั้นถูกดักจับ เพราะว่าในกรณีนี้ข้อมูลที่ถูกดักจับเกิดจากการบุกรุกเว็บไซต์นั้นโดยตรง
  • แป้นพิมพ์บนหน้าจอไม่สามารถป้องกันการบันทึกหน้าจอที่ทำโดยการใช้คีย์ Print Screen และการคีย์หลายปุ่มรวมกันตามที่ระบุไว้ในการตั้งค่าระบบปฏิบัติการ
  • แอปพลิเคชัน Kaspersky จะไม่ป้องกันสำหรับกรณีการบันทึกหน้าจอที่ไม่ได้รับอนุญาตใน Microsoft Windows 8 และ 8.1 (64-bit เท่านั้น) หากหน้าต่างแป้นพิมพ์บนหน้าจอเปิดแต่กระบวนการเบราเซอร์ที่มีการป้องกันไม่ได้เริ่มต้นขึ้น
ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 70895]

วิธีการเปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอ

ขยายทั้งหมด | ยุบทั้งหมด

คุณสามารถเปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอด้วยวิธีต่อไปนี้:

  • จากแถบเครื่องมือของ Chromium-based Microsoft Edge, Mozilla Firefox หรือ Google Chrome
  • โดยใช้ไอคอนปุ่มลัดแป้นพิมพ์บนหน้าจอในช่องป้อนข้อมูลบนเว็บไซต์

    คุณสามารถ กำหนด การแสดงไอคอนปุ่มลัดในช่องป้อนข้อมูลบนเว็บไซต์

    เมื่อใช้แป้นพิมพ์บนหน้าจอ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะปิดใช้ตัวเลือกการกรอกข้อมูลอัตโนมัติสำหรับช่องป้อนข้อมูลบนเว็บไซต์

  • โดยกดปุ่มของแป้นพิมพ์ผสม

การเริ่มแป้นพิมพ์บนหน้าจอจากแถบเครื่องมือของเบราเซอร์

เพื่อเปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอจากแถบเครื่องมือของเบราเซอร์ต่างๆ เช่น Microsoft Edge based on Chromium, Mozilla Firefox หรือ Google Chrome:

  1. คลิกปุ่ม  Kaspersky Protection บนแถบเครื่องมือของเบราเซอร์
  2. เลือกรายการ แป้นพิมพ์บนหน้าจอ ในเมนูที่เปิดอยู่

การเริ่มแป้นพิมพ์บนหน้าจอโดยใช้แป้นพิมพ์ฮาร์ดแวร์

การเปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอโดยใช้แป้นพิมพ์ฮาร์ดแวร์:

กดพาธลัด CTRL+ALT+SHIFT+P

ทางลัดนี้ไม่แสดงแป้นพิมพ์บนหน้าจอหากมีการใช้งานทางลัดโดยแอปพลิเคชันอื่น เช่น Microsoft Word

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 82518]

วิธีการกำหนดค่าการแสดงผลของไอคอนแป้นพิมพ์บนหน้าจอ

การกำหนดค่าจอแสดงไอคอนทางลัดสำหรับแป้นพิมพ์บนหน้าจอในช่องทางเข้าเว็บไซต์:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. เลือกส่วนการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  4. ในหน้าต่าง การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว คลิกปุ่ม อินพุทข้อมูลอย่างปลอดภัย

    หน้าต่างจะแสดงการตั้งค่าสำหรับการปกป้องการอินพุทข้อมูล

  5. ในส่วน แป้นพิมพ์บนหน้าจอ ให้เลือกช่องทำเครื่องหมาย เปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอโดยการพิมพ์ CTRL+ALT+SHIFT+P
  6. ถ้าคุณต้องการให้ไอคอนเรียกใช้ด่วนของแป้นพิมพ์บนหน้าจอปรากฏบนช่องทางเข้าในทุกเว็บไซต์ ให้เลือกช่องทำเครื่องหมาย แสดงไอคอนเรียกใช้ด่วนในช่องการป้อนข้อมูล
  7. หากคุณต้องการให้ไอคอนปุ่มลัดสำหรับแป้นพิมพ์บนหน้าจอแสดงแค่ตอนเว็บไซต์ของหมวดหมู่ที่เฉพาะถูกเปิดเท่านั้น กรุณาเลือกช่องทำเครื่องหมายสำหรับหมวดหมู่ของเว็บไซต์ที่ซึ่งไอคอนปุ่มลัดสำหรับแป้นพิมพ์จะแสดงอยู่ในช่องป้อนข้อมูล

    ไอคอนทางลัดของแป้นพิมพ์บนหน้าจอจะแสดงขึ้นเมื่อคุณเข้าใช้งานเว็บไซต์ในหมวดหมู่ที่คุณเลือกไว้

  8. ถ้าคุณต้องการเปิดใช้หรือปิดใช้ไอคอนทางลัดของแป้นพิมพ์บนหน้าจอเมื่อคุณเข้าสู่เว็บไซต์บางเว็บไซต์:
    1. ในช่อง แป้นพิมพ์บนหน้าจอ คลิกลิงก์ จัดการข้อยกเว้น เพื่อเปิดหน้าต่าง ข้อยกเว้นสำหรับแป้นพิมพ์บนหน้าจอ
    2. ในส่วนล่างของหน้าต่าง ให้คลิกปุ่มเพิ่ม
    3. หน้าต่างจะเปิดขึ้นสำหรับการเพิ่มข้อยกเว้นสำหรับแป้นพิมพ์บนหน้าจอ
    4. ในช่อง มาสก์ที่อยู่เว็บ ให้ป้อนที่อยู่เว็บของเว็บไซต์
    5. ในส่วน ขอบเขต ให้คุณระบุพื้นที่ที่คุณต้องการให้แสดงไอคอนทางลัดของแป้นพิมพ์บนหน้าจอ (หรือไม่ต้องการให้แสดง): ในหน้าที่ระบุหรือในทุกหน้าของเว็บไซต์
    6. ในส่วน ไอคอนแป้นพิมพ์บนหน้าจอ ให้ระบุว่าคุณต้องการให้แสดงไอคอนแป้นพิมพ์บนหน้าจอหรือไม่
    7. คลิกปุ่มตกลง

      เว็บไซต์ที่ระบุจะแสดงในรายการที่อยู่ในหน้าต่าง ข้อยกเว้นสำหรับแป้นพิมพ์บนหน้าจอ

เมื่อคุณเข้าใช้เว็บไซต์ที่ระบุไว้ ไอคอนทางลัดของแป้นพิมพ์บนหน้าจอจะแสดงในช่องทางเข้าตามที่ได้ตั้งค่าระบุไว้

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 90458]

เกี่ยวกับการป้องกันข้อมูลที่ป้อนทางแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์

การป้องกันการอินพุทข้อมูลด้วยแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ช่วยให้หลีกเลี่ยงการดักข้อมูลที่ป้อนบนเว็บไซต์ทางแป้นพิมพ์ได้ เพื่อเปิดใช้งานการป้องกันการป้อนข้อมูลบนแป้นพิมพ์ ส่วนขยาย Kaspersky Protection ต้องถูกเปิดใช้งานไว้ ในเบราเซอร์ คุณสามารถกำหนดค่าการป้องกันการอินพุทข้อมูลที่ป้อนจากแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ได้หลากหลายเว็บไซต์ หลังจากกำหนดค่าการอินพุทผ่านแป้นพิมพ์อย่างปลอดภัย จะมีข้อความป็อปอัประบุว่าเปิดใช้งานอินพุทผ่านแป้นพิมพ์อย่างปลอดภัยแล้วจะปรากฏถัดจากช่องที่มีลูกศรอยู่ ตามค่าเริ่มต้น อินพุทผ่านแป้นพิมพ์อย่างปลอดภัยจะเปิดใช้งานสำหรับหมวดหมู่ของเว็บไซต์ทั้งหมดยกเว้นการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต

ข้อจำกัดการอินพุทข้อมูลอย่างปลอดภัย

การอินพุทข้อมูลอย่างปลอดภัยในแอปพลิเคชัน Kaspersky มีข้อจำกัดดังต่อไปนี้:

  • อินพุทผ่านแป้นพิมพ์อย่างปลอดภัยจะไม่ทำงานในเบราเซอร์ที่กำลังทำงานในแอปพลิเคชัน Sandboxie
  • อินพุทผ่านแป้นพิมพ์อย่างปลอดภัยจะไม่สามารถป้องกันข้อมูลส่วนตัวของคุณได้ถ้าเว็บไซต์ที่ต้องการข้อมูลนั้นถูกแฮก เนื่องจากในกรณีนี้ข้อมูลถูกดักจับจากผู้บุกรุกเว็บไซต์โดยตรง การอินพุทผ่านแป้นพิมพ์อย่างปลอดภัยทำงานได้เฉพาะกับเบราว์เซอร์ต่อไปนี้ Microsoft Edge ขึ้นอยู่กับ Chromium, Mozilla Firefox, Mozilla Firefox ESR และ Google Chrome เมื่อติดตั้งและเปิดใช้งานส่วนขยาย Kaspersky Protection
  • การป้องกันทำงานได้เฉพาะกับหน้าเว็บที่ทำตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
    • หน้าเว็บอยู่ในรายการที่อยู่ URL หรือหมวดหมู่หน้าเว็บที่ต้องการรอินพุทผ่านแป้นพิมพ์อย่างปลอดภัย
    • หน้าเว็บที่เปิดในเบราเซอร์ที่มีการป้องกัน
    • หน้าเว็บที่ไม่ได้อยู่ในรายการข้อยกเว้น URL
    • หน้าเว็บมีช่องสำหรับป้อนรหัสผ่าน ในขณะเดียวกันจะต้องเลือกช่องทำเครื่องหมาย ช่องการป้อนรหัสผ่านในเว็บไซต์ทั้งหมด ในการตั้งค่าแอปพลิเคชันไว้
    • หากต้องการตรวจสอบว่าได้เลือกช่องทำเครื่องหมายไว้หรือไม่ ให้ไปที่ส่วน การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอินพุทข้อมูลอย่างปลอดภัย บล็อก อินพุทผ่านแป้นพิมพ์อย่างปลอดภัย
  • การป้องกันทำงานได้เฉพาะกับช่องที่ทำตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
    • ช่องอินพุทเป็นบรรทัดเดียว และสอดคล้องกับแท็ก <อินพุท> HTML
    • ช่องอินพุทไม่ถูกซ่อนไว้ แอตทริบิวต์ของประเภทไม่เท่ากับเงื่อนไขซ่อน และในสไตล์ CSS ช่องแสดงไม่ถูกตั้งค่าเป็นศูนย์
    • ช่องอินพุตไม่ใช่ช่องสำหรับการส่ง ปุ่มแบบเรดิโอ ช่องทำเครื่องหมาย ปุ่ม หรือรูปภาพประเภทต่างๆ
    • ช่องอินพุทไม่ควรเป็นแบบอ่านอย่างเดียว (readOnly)
    • ช่องอินพุทควรพร้อมสำหรับการป้อนข้อมูล (get focus)
    • ถ้าช่องมีแอตทริบิวต์ความยาวสูงสุด (maxlength) จำนวนตัวอักษรขั้นต่ำที่สามารถใส่ได้ควรมากกว่าสามตัว
  • การป้องกันจะไม่ทำงานในกรณีต่อไปนี้
    • ข้อมูลที่อินพุทใช้เทคโนโลยี IME
    • ช่องอินพุทไม่ใช่ช่องสำหรับกรอกรหัสผ่าน

ระยะเวลาหลังจากที่คุณติดตั้งแอปพลิเคชัน Kaspersky แต่ก่อนที่จะรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรก แอปพลิเคชันจะไม่ดักจับตัวอักษรแรกที่ผู้ใช้ใส่ (ในทุกแอปพลิเคชัน)

หากคุณมีปัญหาใดๆ ส่งคำขอ พร้อมคำอธิบายอย่างละเอียดของปัญหาไปยังฝ่ายบริการลูกค้าผ่าน My Kaspersky

สำหรับคู่มือการทำงานกับ My Kaspersky โปรดดู ช่วยเหลือ

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 70745]

วิธีการป้องกันข้อมูลที่ป้อนทางแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์

การป้องกันข้อมูลที่ป้อนทางแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. ไปที่ส่วน การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
  4. คลิกปุ่มอินพุทข้อมูลอย่างปลอดภัย

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่าอินพุทข้อมูลอย่างปลอดภัย

  5. บริเวณด้านล่างของหน้าต่างในส่วน อินพุทผ่านแป้นพิมพ์อย่างปลอดภัย ให้เลือกช่องทำเครื่องหมาย เปิดใช้งานอินพุทผ่านแป้นพิมพ์อย่างปลอดภัย
  6. เลือกช่องทำเครื่องหมายสำหรับหมวดหมู่เว็บไซต์ที่ต้องการป้องกันข้อมูลที่ป้อนจากแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์
  7. ถ้าคุณต้องการเปิดใช้หรือปิดใช้การป้องกันการอินพุทข้อมูลจากแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์บนเว็บไซต์ที่ระบุเว็บหนึ่ง:
    1. เปิดหน้าต่าง ข้อยกเว้นสำหรับแป้นพิมพ์บนหน้าจอ โดยการคลิกที่ลิงก์ จัดการข้อยกเว้น
    2. ในหน้าต่าง คลิกปุ่ม เพิ่ม
    3. หน้าต่างจะเปิดสำหรับการเพิ่มข้อยกเว้นการอินพุทผ่านแป้นพิมพ์อย่างปลอดภัย
    4. ในหน้าต่างที่เปิดในส่วนของช่อง มาสก์ที่อยู่เว็บ ให้ป้อนที่อยู่เว็บไซต์
    5. เลือกหนึ่งในตัวเลือกสำหรับการอินพุทข้อมูลอย่างปลอดภัยบนเว็บไซต์นี้ (นำไปใช้กับหน้าที่ระบุ หรือ นำไปใช้กับเว็บไซต์ทั้งหมด)
    6. เลือกการดำเนินการที่จะใช้กับการอินพุทข้อมูลอย่างปลอดภัยบนเว็บไซต์ (ป้องกัน หรือ ห้ามป้องกัน)
    7. คลิกปุ่มตกลง

เว็บไซต์ที่ระบุจะแสดงในรายการที่อยู่ในหน้าต่าง ข้อยกเว้นสำหรับแป้นพิมพ์บนหน้าจอ เมื่อเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ การอินพุทข้อมูลอย่างปลอดภัยจะทำงาน การทำงานจะสอดคล้องกับการตั้งค่า

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 139716]

การตรวจสอบเว็บไซต์เพื่อความปลอดภัย

แอปพลิเคชัน Kaspersky จะอนุญาตให้ตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์ก่อนที่คุณจะคลิกลิงก์เพื่อเปิด เว็บไซต์ได้รับการตรวจสอบโดยใช้ ตัวแนะนำ URL

ส่วนประกอบตัวแนะนำ URL จะตรวจสอบลิงก์บนเว็บเพจที่เปิดใน Chromium-based Microsoft Edge, Google Chrome หรือ Mozilla Firefox แอปพลิเคชัน Kaspersky จะแสดงหนึ่งในไอคอนที่อยู่ถัดจากลิงก์ที่ตรวจสอบดังนี้:

หน้าเว็บที่ปลอดภัย – ถ้าลิงก์หน้าเว็บนั้นปลอดภัยโดยอ้างอิงจาก Kaspersky

หน้าเว็บที่ไม่รู้จัก – ถ้าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสถานะความปลอดภัยของหน้าเว็บที่ลิงก์ไป

หน้าเว็บที่อาจใช้งานโดยผู้บุกรุก – หากอ้างอิงจาก Kaspersky แฮกเกอร์สามารถสร้างอันตรายต่อคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลของคุณได้โดยใช้หน้าเว็บที่ลิงก์เชื่อมโยงไว้

หน้าเว็บที่ตกอยู่ในอันตราย – หากอ้างอิงจาก Kaspersky หน้าเว็บที่ลิงก์เชื่อมโยงไว้สามารถติดเชื้อหรือแฮ็กได้

หน้าเว็บที่อันตราย – ถ้าลิงก์หน้าเว็บอันตรายโดยอ้างอิงจาก Kaspersky

การดูหน้ารายละเอียดเพิ่มเติมของลิงก์นั้นบนหน้าต่างป็อปอัป ให้เลื่อนลูกศรเมาส์ชี้ไปยังไอคอนที่จะให้รายละเอียดนั้นๆ

ตามค่าเริ่มต้น แอปพลิเคชัน Kaspersky จะตรวจสอบลิงก์ในผลการค้นหาเท่านั้น คุณสามารถเปิดใช้งานการตรวจสอบ URL ได้กับทุกเว็บไซต์

การกำหนดค่าการตรวจสอบ URL บนเว็บไซต์:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. เลือกส่วนการตั้งค่าความปลอดภัย
  4. คลิกปุ่มการเรียกดูอย่างปลอดภัย

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่าการเรียกดูอย่างปลอดภัย

  5. การคลิกลิงก์ การตั้งค่าขั้นสูง จะเปิดส่วนการตั้งค่าขั้นสูงของ การเรียกดูอย่างปลอดภัย
  6. ในส่วน ตัวแนะนำ URL ให้เลือกช่องทำเครื่องหมาย ตรวจสอบ URL
  7. หากคุณต้องการให้แอปพลิเคชัน Kaspersky สแกนเนื้อหาของเว็บไซต์ทั้งหมดให้เลือก ในเว็บไซต์ทั้งหมดยกเว้นเว็บไซต์ที่ระบุ
  8. ถ้าจำเป็น ให้ระบุหน้าเว็บที่คุณเชื่อถือในหน้าต่าง ข้อยกเว้น เปิดหน้าต่างนี้โดยการคลิกลิงก์ จัดการข้อยกเว้น แอปพลิเคชัน Kaspersky จะไม่สแกนเนื้อหาของหน้าเว็บที่ระบุ
  9. หากต้องการให้แอปพลิเคชัน Kaspersky ตรวจสอบเนื้อหาของหน้าเว็บที่ระบุเท่านั้น:
    1. เลือกตัวเลือก ในเว็บไซต์ที่ระบุเท่านั้น
    2. คลิกที่ลิงก์ กำหนดค่าเว็บไซต์ที่ตรวจสอบ เพื่อเปิดหน้าต่าง เว็บไซต์ที่ตรวจสอบ
    3. คลิกปุ่มเพิ่ม
    4. ป้อนที่อยู่หน้าเว็บที่มีเนื้อหาที่คุณต้องการตรวจสอบ
    5. เลือกสถานะการตรวจสอบสำหรับหน้าเว็บนั้น (หากสถานะนั้น เป็น ทำงาน แอปพลิเคชัน Kaspersky จะตรวจสอบเนื้อหาหน้าเว็บนั้น)
    6. คลิกปุ่มตกลง

      หน้าเว็บที่ระบุจะปรากฏในรายการในหน้าต่าง เว็บไซต์ที่ตรวจสอบ แอปพลิเคชัน Kaspersky ตรวจสอบ URL บนหน้าเว็บนี้

  10. การกำหนดค่าการตั้งค่าขั้นสูงสำหรับการตรวจสอบ URL ในหน้าต่าง การตั้งค่าขั้นสูงของการเรียกดูอย่างปลอดภัย ในส่วน ตัวแนะนำ URL ให้คลิกที่ลิงก์ กำหนดค่าตัวแนะนำ URL ที่เชื่อถือได้ เพื่อเปิดหน้าต่าง URL ที่ตรวจสอบ
  11. หากคุณต้องการให้แอปพลิเคชัน Kaspersky แจ้งเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัยของลิงก์บนหน้าเว็บทั้งหมด ในส่วน URL ที่ตรวจสอบ ให้เลือก URL ทั้งหมด
  12. หากคุณต้องการให้แอปพลิเคชัน Kaspersky แสดงข้อมูลที่เกี่ยวกับลิงก์อยู่ในหมวดหมู่เฉพาะของเนื้อหาเว็บไซต์หรือไม่ (ตัวอย่างเช่น หยาบคาย ลามก):
    1. เลือกช่องทำเครื่องหมาย แสดงข้อมูลเกี่ยวกับหมวดหมู่ของเนื้อหาเว็บไซต์
    2. เลือกช่องทำเครื่องหมายที่อยู่ถัดจากหมวดหมู่ของเนื้อหาเว็บไซต์เกี่ยวกับข้อมูลซึ่งควรแสดงในส่วนของความคิดเห็น

แอปพลิเคชัน Kaspersky จะตรวจสอบลิงก์บนหน้าเว็บที่ระบุและแสดงข้อมูลเกี่ยวกับหมวดหมู่ของลิงก์โดยเป็นไปตามค่าการตั้งค่าที่เลือก

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 70888]

วิธีการเปลี่ยนการตั้งค่าการเชื่อมต่อที่เข้ารหัส

การเชื่อมต่อที่เข้ารหัสถูกสร้างผ่านโปรโตคอล SSL และ TLS ตามค่าเริ่มต้น แอปพลิเคชัน Kaspersky สแกนการเชื่อมต่อตามคำขอจากส่วนประกอบการป้องกัน เช่น Mail Anti-Virus, Safe Money, ตัวแนะนำ URL, การเรียกดูส่วนตัว, การเรียกดูอย่างปลอดภัยปลอดภัย และ Anti-Banner

การเปลี่ยนการตั้งค่าการเชื่อมต่อที่เข้ารหัส:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. ไปที่ส่วน การตั้งค่าความปลอดภัย
  4. ในบล็อก การตั้งค่าขั้นสูง คลิกที่ปุ่ม การตั้งค่าเครือข่าย
  5. ในหน้าต่าง การตั้งค่าเครือข่าย ให้ไปที่ การสแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัส
  6. เลือกการดำเนินการที่จะทำเมื่อเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ผ่านการเชื่อมต่อที่เข้ารหัส:
    • ห้ามสแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัส. แอปพลิเคชัน Kaspersky จะไม่สแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัส
    • สแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสเมื่อคำขอมาจากส่วนประกอบการป้องกัน. แอปพลิเคชัน Kaspersky สแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสเมื่อมีคำขอจากตัวแนะนำ URL เท่านั้น การดำเนินการนี้ถูกเลือกไว้ตามค่าเริ่มต้น
    • สแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสเสมอ. แอปพลิเคชัน Kaspersky สแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสเสมอ

    การคลิกที่ลิงก์ แสดงประกาศนียบัตร จะเปิดหน้าต่างพร้อมรายการใบรับรองที่เชื่อถือได้ซึ่งใช้โดยเว็บไซต์ยอดนิยม ใบรับรองจะถูกเพิ่มในรายการนี้หากคุณคลิก เพิ่มลงในใบรับรองที่เชื่อถือได้และดำเนินการต่อ ในคำเตือน Kaspersky เมื่อเข้าชมเว็บไซต์ หลังจากที่คุณเพิ่มใบรับรองลงในรายการแล้ว เว็บไซต์จะถือว่าเชื่อถือได้ คุณสามารถเพิ่มหรือลบใบรับรองในหน้าต่าง ใบรับรองรูทที่เชื่อถือได้ โดยใช้ปุ่ม เพิ่ม และ ลบ

    หากคุณมีบัญชีผู้ใช้หลายบัญชีในคอมพิวเตอร์ของคุณ และผู้ใช้รายหนึ่งยอมรับใบรับรองใหม่ ใบรับรองนี้จะถูกเพิ่มในรายการใบรับรองที่เชื่อถือได้สำหรับผู้ใช้รายอื่นทั้งหมดด้วย

  7. เลือกการดำเนินการที่จะทำหากเกิดข้อผิดพลาดเมื่อสแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัส:
    • ละเว้น. หากเลือกการดำเนินการนี้ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะสิ้นสุดการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ที่การสแกนเกิดข้อผิดพลาด
    • ถาม. หากเกิดข้อผิดพลาดเมื่อสแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสกับเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะแสดงการแจ้งเตือนที่คุณสามารถเลือกการดำเนินการได้:
      • ละเว้น. แอปพลิเคชัน Kaspersky จะสิ้นสุดการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ที่การสแกนเกิดข้อผิดพลาด
      • อนุญาตและเพิ่มโดเมนลงในข้อยกเว้น. แอปพลิเคชัน Kaspersky จะเพิ่มที่อยู่เว็บไซต์ลงในรายการที่อยู่ที่เชื่อถือได้ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะไม่สแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสบนเว็บไซต์จากรายการที่อยู่ที่เชื่อถือได้ คุณสามารถดูเว็บไซต์ดังกล่าวได้โดยคลิกที่ลิงก์ กำหนดค่าที่อยู่ที่เชื่อถือได้

      ตัวเลือกนี้ถูกเลือกไว้ตามค่าเริ่มต้น

    • อนุญาตและเพิ่มโดเมนลงในข้อยกเว้น. แอปพลิเคชัน Kaspersky จะเพิ่มเว็บไซต์ลงในรายการที่อยู่ที่เชื่อถือได้ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะไม่สแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสบนเว็บไซต์จากรายการที่อยู่ที่เชื่อถือได้ เว็บไซต์เหล่านี้แสดงหน้าต่าง ที่อยู่ที่เชื่อถือได้ ซึ่งสามารถเปิดได้ด้วยการคลิกที่ลิงก์ กำหนดค่าที่อยู่ที่เชื่อถือได้
  8. คลิกลิงก์ กำหนดค่าที่อยู่ที่เชื่อถือได้ เพื่อเปิดหน้าต่าง ที่อยู่ที่เชื่อถือได้ และดำเนินการต่อไปนี้:
    1. คลิกที่ปุ่ม เพิ่ม เพื่อเพิ่มเว็บไซต์ในรายการข้อยกเว้นสำหรับการสแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัส
    2. ป้อนชื่อโดเมนของเว็บไซต์ในช่อง ชื่อโดเมน
    3. คลิกปุ่มเพิ่ม

      แอปพลิเคชัน Kaspersky จะไม่สแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัสกับเว็บไซต์นี้ โปรดทราบว่าการเพิ่มเว็บไซต์ไปยังรายการที่อยู่ที่เชื่อถือได้อาจจำกัดการทำงานของส่วนประกอบการป้องกันต่างๆ ของการสแกนเว็บไซต์ เช่น Safe Money, ตัวแนะนำ URL, การเรียกดูส่วนตัว, การเรียกดูอย่างปลอดภัย และ Anti-Banner

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 157530]

เกี่ยวกับการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยกับเครือข่าย Wi-Fi

ฟังก์ชัน Kaspersky VPN ไม่สามารถใช้งานได้ในบางภูมิภาค

สามารถเลือกใช้งานได้เฉพาะใน Kaspersky Plus และ Kaspersky Premium เท่านั้น

เครือข่าย Wi-Fi สาธารณะอาจอยู่ภายใต้การป้องกันที่ต่ำ ตัวอย่างเช่น ถ้าเครือข่าย Wi-Fi ใช้โปรโตคอลการเข้ารหัสที่มีความเสี่ยง หรือรหัสผ่านที่คาดเดาได้ง่าย เมื่อคุณทำการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย Wi-Fi ที่ไม่ปลอดภัย รหัสผ่านและข้อมูลลับของคุณจะถูกส่งเป็นข้อความที่ไม่ถูกเข้ารหัส แฮกเกอร์สามารถดักข้อมูลลับของคุณ เช่น หมายเลขบัตรเครดิตของคุณ และเข้าถึงเรื่องการเงินของคุณ

เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของคุณเมื่อใช้เครือข่าย Wi-Fi ที่ไม่ปลอดภัย คุณสามารถเปิดใช้งาน VPN ผ่านเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการจัดสรรพิเศษซึ่งอยู่ในภูมิภาคที่คุณระบุ การรับส่งข้อมูลจากเว็บไซต์จะไปที่เซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการจัดสรรก่อน จากนั้นจึงจะถูกส่งไปยังอุปกรณ์ของคุณผ่านการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยที่เข้ารหัส

หากจะใช้ส่วนประกอบ Kaspersky VPN คุณต้อง ใช้งาน Kaspersky VPN Kaspersky VPN Secure Connection ได้รับการติดตั้งร่วมกับแอปพลิเคชัน Kaspersky ในแผน Kaspersky Plus

ส่วนประกอบ Kaspersky VPN มีข้อได้เปรียบดังนี้

  • ความปลอดภัยของการใช้ระบบการชำระเงินและการจองผ่านไซต์ ผู้บุกรุกจะไม่สามารถดักเลขบัตรธนาคารของคุณเมื่อคุณทำการชำระเงินออนไลน์, จองห้องโรงแรม หรือเช่ารถ
  • การป้องกันสำหรับข้อมูลที่เป็นความลับของคุณ ไม่มีใครสามารถระบุที่อยู่ IP ของคอมพิวเตอร์ของคุณหรือตำแหน่งของคุณได้
  • การป้องกันความเป็นส่วนตัวของคุณ จะไม่มีคนดักอ่านการพูดคุยส่วนตัวผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์คของคุณได้

การเชื่อมต่อ VPNที่ปลอดภัยสามารถใช้สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายประเภทอื่นๆ เช่นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตภายใน หรือการเชื่อมต่อผ่านโมเด็ม USB

ตามค่าเริ่มต้น Kaspersky VPN Secure Connection จะไม่ให้คุณยืนยันเพื่อเปิดใช้ VPN ถ้ามีการใช้โปรโตคอล HTTPS เพื่อเชื่อมต่อกับเว็บไซต์

การเปลี่ยนตำแหน่งของคุณเมื่อเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของธนาคาร ระบบชำระเงิน เว็บไซต์สำหรับจอง โซเชียลเน็ตเวิร์ค แชต และเว็บไซต์อีเมลอาจทำให้ไปกระตุ้นระบบป้องกันการทุจริต (ระบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์ธุรกรรมทางการเงินระบบออนไลน์สำหรับติดตามเบาะแสการดำเนินการทุจริต)

การใช้การเชื่อมต่อ VPN อาจได้รับการกำกับดูแลโดยกฎหมายท้องถิ่น คุณอาจใช้การเชื่อมต่อ VPN เฉพาะที่สอดคล้องกับจุดประสงค์และไม่ละเมิดกฎหมายท้องถิ่นเท่านั้น

ด้านบนสุดของหน้า
[Topic 127182]

การกำหนดค่าการแจ้งเตือนช่องโหว่ในเครือข่าย Wi-Fi

หากไม่ได้ติดตั้ง Kaspersky VPN Secure Connection บนคอมพิวเตอร์ของคุณ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะแสดงการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi และการส่งรหัสผ่านของคุณอย่างไม่ปลอดภัยผ่านอินเทอร์เน็ต คุณสามารถอนุญาตหรือบล็อกการเชื่อมต่อและการส่งรหัสผ่านในหน้าต่างการแจ้งเตือนได้

หลังคุณติดตั้ง Kaspersky VPN Secure Connection การตั้งค่าเพื่อแสดงการแจ้งเตือนเมื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi และเมื่อส่งรหัสผ่านที่ไม่ได้เข้ารหัสจะไม่ได้ทำงานอยู่ คุณสามารถกำหนดการตั้งค่าการแจ้งเตือนสำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi ที่ Kaspersky VPN Secure Connection

ฟังก์ชัน Kaspersky VPN ไม่สามารถใช้งานได้ในบางภูมิภาค

การกำหนดค่าการแจ้งเตือนช่องโหว่ในเครือข่าย Wi-Fi:

  1. เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก
  2. คลิก ปุ่มการตั้งค่า ที่ด้านล่างของหน้าต่างหลัก

    ปุ่มนี้จะเปิดหน้าต่าง การตั้งค่า

  3. เลือกส่วนการตั้งค่าความปลอดภัย
  4. เลือกส่วนประกอบ ไฟร์วอลล์

    หน้าต่างแสดงการตั้งค่าของส่วนประกอบไฟร์วอลล์

  5. เลือก การแจ้งเตือนถึงช่องโหว่ในเครือข่าย Wi-Fi ถ้าคุณต้องการรับการแจ้งเตือนเมื่อคุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่มีช่องโหว่ ถ้าคุณไม่ต้องการรับการแจ้งเตือน ไม่ต้องเลือกช่องทำเครื่องหมาย สามารถเข้าถึงช่องทำเครื่องหมายนี้ได้ถ้าไม่ติดตั้ง Kaspersky VPN Secure Connection ในคอมพิวเตอร์
  6. คลิกลิงก์ เลือกหมวดหมู่ และเลือกหมวดหมู่ช่องโหว่ของเครือข่าย Wi-Fi เมื่อคุณพยายามเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ที่มีช่องโหว่ที่เกี่ยวข้อง แอปพลิเคชัน Kaspersky จะแจ้งให้คุณทราบ
  7. ถ้าเลือกช่องทำเครื่องหมาย การแจ้งเตือนถึงช่องโหว่ในเครือข่าย Wi-Fi คุณจะสามารถแก้ไขการตั้งค่าขั้นสูงเพื่อแสดงการแจ้งเตือนได้
    • เลือกช่องทำเครื่องหมาย การบล็อกและคำเตือนเกี่ยวกับการส่งรหัสผ่านอย่างไม่ปลอดภัยผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อบล็อกการส่งรหัสผ่านในรูปแบบข้อความที่ไม่ได้เข้ารหัสทั้งหมด เมื่อคุณกรอกช่อง รหัสผ่าน ทางอินเทอร์เน็ต
    • การคลิกลิงก์ เปิดใช้งาน จะคืนค่าเริ่มต้นของการตั้งค่าสำหรับแสดงการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการส่งข้อมูลรหัสผ่านในรูปแบบที่ไม่เข้ารหัส ถ้าก่อนหน้านี้คุณบล็อกการแสดงการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการส่งรหัสผ่านแบบไม่เข้ารหัส การแสดงการแจ้งเตือนเหล่านั้นจะกลับมาดำเนินการต่อ

เมื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ที่มีการป้องกัน แอปพลิเคชันจะแสดงการแจ้งเตือน ซึ่งจะถามคุณว่าคุณเชื่อถือเครือข่ายใหม่หรือไม่ คุณสามารถเลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งต่อไปนี้:

  • ไม่ บล็อกการเข้าถึงคอมพิวเตอร์. การเชื่อมต่อภายนอกทั้งหมดของเครือข่ายนี้ถูกบล็อก ยกเว้นการเชื่อมต่อที่เริ่มต้นจากอุปกรณ์ของคุณ คุณสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและเยี่ยมชมเว็บไซต์ทั้งหมดได้ ผู้ใช้รายอื่นในเครือข่ายนี้จะไม่สามารถเชื่อมต่อกับทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ของคุณได้ (เช่น พวกเขาจะไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาในดิสก์ของคุณ รวมทั้งโฟลเดอร์ที่ใช้ร่วมกัน)
  • จำกัด แต่อนุญาตการเข้าถึงที่ใช้ร่วมกันได้ คุณสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและเยี่ยมชมเว็บไซต์ทั้งหมดได้ ผู้ใช้รายอื่นในเครือข่ายนี้จะไม่ได้รับสิทธิ์เข้าถึงทรัพยากรในคอมพิวเตอร์ของคุณ แต่จะมีสิทธิ์เข้าถึงทรัพยากรที่กำหนด (เช่น โฟลเดอร์ที่ใช้ร่วมกัน)
  • ใช่ อนุญาตกิจกรรมทางเครือข่ายทั้งหมด การเชื่อมต่อทั้งหมดในเครือข่ายนี้จะได้รับอนุญาต คุณสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและเยี่ยมชมเว็บไซต์ทั้งหมดได้ ผู้ใช้รายอื่นในเครือข่ายนี้จะสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของคุณได้โดยไม่มีข้อจำกัด (เช่น พวกเขาจะสามารถเข้าถึงเนื้อหาในดิสก์ของคุณได้)

หากฟังก์ชัน ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม ปิดอยู่ การแจ้งเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ที่ตรวจพบก่อนหน้านี้ของเครือข่าย Wi-Fi จะยังคงอยู่ในอินเทอร์เฟซผู้ใช้ของผลิตภัณฑ์ คุณสามารถซ่อนการแจ้งเตือนเหล่านี้ได้ หากต้องการลบการแจ้งเตือน คุณต้องยกเลิกการเชื่อมต่อจากเครือข่าย Wi-Fi ปัจจุบันหรือทำดังต่อไปนี้:

  1. แก้ไขช่องโหว่ที่ตรวจพบก่อนหน้านี้
  2. เปิดฟังก์ชั่น ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม
  3. สแกนเครือข่าย Wi-Fi เพื่อหาช่องโหว่

ด้านบนสุดของหน้า

[Topic 81791]