Kaspersky Standard | Plus | Premium

ความปลอดภัย

แฮกเกอร์ในปัจจุบันเริ่มฉลาดขึ้นในการหาเป้าหมายเพื่อเจาะอุปกรณ์ของคุณ แรนซัมแวร์ ฟิชชิง และมัลแวร์ประเภทใหม่ ๆ จะต้องใช้โซลูชั่นความปลอดภัยทางไซเบอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้คุณก้าวนำหน้าภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น เราจึงได้สร้างแอปพลิเคชัน Kaspersky ใหม่เพื่อช่วยให้คุณปลอดภัยจากภัยคุกคามต่างๆ ในทุกวันนี้ได้ ค้นหาสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อให้รู้สึกปลอดภัย

ในส่วนนี้

File Anti-Virus

การเรียกดูอย่างปลอดภัย

ขอบเขตการป้องกันคอมพิวเตอร์

การสแกน

ตัวบล็อกการโจมตีเครือข่าย

ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

การกักกัน

การอัปเดตฐานข้อมูล

ด้านบนของหน้า
[Topic 226944]

File Anti-Virus

File Anti-Virus ป้องกันการติดไวรัสของระบบไฟล์ของคอมพิวเตอร์ ส่วนประกอบจะเริ่มทำงานในระหว่างที่เริ่มต้นระบบปฏิบัติการ โดยจะยังคงอยู่ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ และสแกนหาไวรัสและมัลแวร์อื่น ๆ ในไฟล์ทั้งหมดที่เปิด บันทึก หรือเรียกใช้บนคอมพิวเตอร์ของคุณ รวมถึงในดิสก์ที่เชื่อมต่อทั้งหมด หากคุณปิดใช้งาน File Anti-Virus มันจะไม่เริ่มทำงานเมื่อระบบปฏิบัติการเริ่มต้น คุณจะต้องเปิดใช้งาน File Anti-Virus อีกครั้งด้วยตนเอง

เปิด/ปิดใช้งาน File Anti-Virus

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บ การป้องกัน ในส่วน File Anti-Virus เลือก/เว้นช่องทำเครื่องหมาย เปิดใช้งาน File Anti-Virus

    คุณสามารถเปิดใช้งาน File Anti-Virus ได้ในสถานะการป้องกัน การปิดใช้งานการป้องกันคอมพิวเตอร์หรือปิดใช้งานส่วนประกอบการป้องกัน จะทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณมีความเสี่ยงสูงที่จะติดไวรัส นี่คือสาเหตุที่สถานะการป้องกันจะแจ้งคุณเมื่อคุณปิดใช้งานการป้องกัน

คุณสามารถสร้างขอบเขตการป้องกันของ File Anti-Virus ได้

เพิ่ม/ลบไฟล์หรือโฟลเดอร์ไปที่/จากขอบเขตการป้องกัน

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บการป้องกันในส่วนของ File Anti-Virus คลิกการตั้งค่า

    หน้าต่างที่มีรายการอ็อบเจ็กต์ที่ File Anti-Virus สแกนจะเปิดขึ้น ตามค่าเริ่มต้น File Anti-Virus จะสแกนวัตถุทั้งหมดที่อยู่ในดิสก์ภายใน, ดิสก์ภายนอกและดิสก์เครือข่ายที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของคุณ

    หมายเหตุ: คุณสามารถข้ามการสแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียวได้ เพื่อลดเวลาที่ใช้ในการสแกนได้อย่างมีนัยสำคัญ ตามค่าเริ่มต้น File Anti-Virus จะไม่สแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียว

  3. ในส่วนขอบเขตการป้องกัน ให้เพิ่ม/ลบอ็อบเจ็กต์ไปยัง/ออกจากขอบเขตการป้องกัน:
    • หากต้องการเพิ่มไฟล์หรือโฟลเดอร์เข้าไปในขอบเขตการป้องกัน:
      1. คลิก

        เมนูป๊อปอัปที่คุณสามารถเลือกวัตถุที่จะเพิ่มเข้าไปในขอบเขตการป้องกันจะเปิดขึ้น

      2. ในเมนูป๊อปอัปเลือกรายการ ไฟล์และโฟลเดอร์

        กล่องโต้ตอบที่คุณสามารถเลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์จะเปิดขึ้น

      3. เลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่คุณต้องการเพิ่มเข้าไปในขอบเขตการป้องกัน
      4. คลิก เปิด
    • หากต้องการลบไฟล์หรือโฟลเดอร์ออกจากขอบเขตการป้องกัน:
      1. เลือกวัตถุในรายการวัตถุในขอบเขตการป้องกัน
      2. ลากวัตถุที่เลือกจากหน้าต่างหรือคลิก
  4. หากคุณต้องการที่จะสแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียว ให้ไปที่ส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพ แล้วยกเลิกการเลือกช่องทำเครื่องหมายข้ามการสแกนข้อมูลไดรฟ์ระบบสำหรับอ่านเท่านั้น

    สำคัญ: อาจไม่มีการเปิดใช้งานการเพิ่มประสิทธิภาพเนื่องด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

  5. คลิก บันทึก

เพิ่ม/ลบวัตถุในรายการวัตถุเริ่มต้นไปยัง/ออกจากขอบเขตการป้องกัน

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บการป้องกันในส่วนของ File Anti-Virus คลิกการตั้งค่า

    หน้าต่างที่มีรายการอ็อบเจ็กต์ที่ File Anti-Virus สแกนจะเปิดขึ้น ตามค่าเริ่มต้น File Anti-Virus จะสแกนวัตถุทั้งหมดที่อยู่ในดิสก์ภายใน, ดิสก์ภายนอกและดิสก์เครือข่ายที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของคุณ

    หมายเหตุ: คุณสามารถข้ามการสแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียวได้ เพื่อลดเวลาที่ใช้ในการสแกนได้อย่างมีนัยสำคัญ ตามค่าเริ่มต้น File Anti-Virus จะไม่สแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียว

  3. ในส่วนขอบเขตการป้องกัน ให้เพิ่ม/ลบอ็อบเจ็กต์ที่อยู่ในรายการอ็อบเจ็กต์เริ่มต้นไปยัง/ออกจากขอบเขตการป้องกัน:
    • หากต้องการเพิ่มวัตถุในรายการวัตถุเริ่มต้นไปยังขอบเขตการป้องกัน:
      1. คลิก

        เมนูป๊อปอัปที่คุณสามารถเลือกวัตถุที่จะเพิ่มเข้าไปในขอบเขตการป้องกันจะเปิดขึ้น

      2. ในเมนูป๊อปอัป เลือกวัตถุที่คุณต้องการเพิ่มลงในขอบเขตการป้องกัน (ตัวอย่างเช่น ดิสก์ภายในทั้งหมด)
    • หากต้องการลบวัตถุในรายการวัตถุเริ่มต้นออกจากขอบเขตการป้องกัน:
      1. เลือกวัตถุในรายการวัตถุในขอบเขตการป้องกัน
      2. ลากวัตถุที่เลือกจากหน้าต่างหรือคลิก
  4. หากคุณต้องการที่จะสแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียว ให้ไปที่ส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพ แล้วยกเลิกการเลือกช่องทำเครื่องหมายข้ามการสแกนข้อมูลไดรฟ์ระบบสำหรับอ่านเท่านั้น

    สำคัญ: อาจไม่มีการเปิดใช้งานการเพิ่มประสิทธิภาพเนื่องด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

  5. คลิก บันทึก

ปิดการป้องกันวัตถุในขอบเขตการป้องกัน

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บการป้องกันในส่วนของ File Anti-Virus คลิกการตั้งค่า

    หน้าต่างที่มีรายการอ็อบเจ็กต์ที่ File Anti-Virus สแกนจะเปิดขึ้น ตามค่าเริ่มต้น File Anti-Virus จะสแกนวัตถุทั้งหมดที่อยู่ในดิสก์ภายใน, ดิสก์ภายนอกและดิสก์เครือข่ายที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของคุณ

    หมายเหตุ: คุณสามารถข้ามการสแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียวได้ เพื่อลดเวลาที่ใช้ในการสแกนได้อย่างมีนัยสำคัญ ตามค่าเริ่มต้น File Anti-Virus จะไม่สแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียว

  3. เว้นช่องทำเครื่องหมายถัดจากวัตถุในรายการวัตถุในขอบเขตการป้องกัน
  4. คลิก บันทึก

เปิดใช้งานการสแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียว

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บการป้องกันในส่วนของ File Anti-Virus คลิกการตั้งค่า

    หน้าต่างที่มีรายการอ็อบเจ็กต์ที่ File Anti-Virus สแกนจะเปิดขึ้น ตามค่าเริ่มต้น File Anti-Virus จะสแกนวัตถุทั้งหมดที่อยู่ในดิสก์ภายใน, ดิสก์ภายนอกและดิสก์เครือข่ายที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของคุณ

    หมายเหตุ: คุณสามารถข้ามการสแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียวได้ เพื่อลดเวลาที่ใช้ในการสแกนได้อย่างมีนัยสำคัญ ตามค่าเริ่มต้น File Anti-Virus จะไม่สแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียว

  3. ในส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพ ให้ยกเลิกการเลือกช่องทำเครื่องหมายข้ามการสแกนข้อมูลไดรฟ์ระบบสำหรับอ่านเท่านั้น

    สำคัญ: อาจไม่มีการเปิดใช้งานการเพิ่มประสิทธิภาพเนื่องด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

  4. คลิก บันทึก

เมื่อคุณหรือแอปพลิเคชันพยายามเข้าถึงไฟล์ที่อยู่ในขอบเขตการป้องกัน File Anti-Virus จะตรวจสอบฐานข้อมูล iSwift สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับไฟล์ และใช้ข้อมูลนี้เพื่อตัดสินใจว่าจะสแกนไฟล์หรือไม่

การจำแนกวัตถุที่เป็นอันตรายนั้นเป็นไปได้ด้วย การวิเคราะห์ลายเซ็น ซึ่งเป็นวิธีการค้นหาภัยคุกคามตามคำอธิบายภัยคุกคามซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลป้องกันไวรัส นอกจากการวิเคราะห์ลายเซ็นแล้ว File Anti-Virus ยังใช้การการวิเคราะห์เรียนรู้และเทคโนโลยีการสแกนอื่นๆ ด้วย

หลังจากตรวจจับวัตถุ แอปพลิเคชันจะแสดงการแจ้งเตือนเกี่ยวกับวัตถุนั้นและดำเนินการกับวัตถุตามการตั้งค่า File Anti-Virus ของคุณ

เลือกการดำเนินการของ File Anti-Virus หลังจากตรวจพบไฟล์ที่ติดไวรัส

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บ การป้องกัน ในส่วน File Anti-Virus เลือกการดำเนินการของ File Anti-Virus หลังจากตรวจพบไฟล์ที่ติดไวรัส

ก่อนที่จะพยายามล้างการติดเชื้อหรือลบไฟล์ที่ติดไวรัสแอปพลิเคชัน Kaspersky จะบันทึกสำเนาสำรองข้อมูลสำหรับการกู้คืนหรือการกำจัดไวรัสในภายหลัง ไฟล์สำเนาจะปรากฎใน การกักกัน คุณสามารถลองล้างการติดเชื้อในไฟล์นี้ได้ภายหลังโดยใช้ฐานข้อมูลป้องกันไวรัสที่อัปเดตแล้ว

ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการของ File Anti-Virus และวัตถุที่ตรวจพบทั้งหมดจะบันทึกไว้ในรายงาน

หมายเหตุ: หาก File Anti-Virus หยุดทำงานจากข้อผิดพลาด คุณสามารถดูรายงานและลองเริ่มส่วนประกอบอีกครั้ง หากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข คุณสามารถติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของ Kaspersky

แสดงรายงาน File Anti-Virus

  1. ในแถบเมนูเลือก การป้องกัน > รายงาน

    หน้าต่าง รายงาน จะปิดขึ้น

  2. เปิดแท็บ File Anti-Virus
ด้านบนของหน้า
[Topic 96931]

การเรียกดูอย่างปลอดภัย

เมื่อคุณใช้งานอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ของคุณมีความเสี่ยงที่จะติดไวรัส และมีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามอื่นๆ ด้านความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ ภัยคุกคามด้านความปลอดภัยคอมพิวเตอร์อาจเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของคุณเมื่อคุณดาวน์โหลดโปรแกรมฟรีหรือเข้าเว็บไซต์ที่ถูกแฮกเกอร์โจมตี ยิ่งกว่านั้น เวิร์มเครือข่ายอาจโจมตีคอมพิวเตอร์ของคุณทันทีที่คอมพิวเตอร์ของคุณสร้างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ก่อนที่คุณจะเปิดที่อยู่เว็บหรือดาวน์โหลดไฟล์เสียอีก

แอปพลิเคชัน Kaspersky จะป้องกันข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ของคุณรับส่งผ่านทางโปรโตคอล HTTP และ HTTPS ใน Safari, Chrome หรือ Firefox

หมายเหตุ: แอปพลิเคชัน Kaspersky จะตรวจสอบปริมาณการใช้ข้อมูลเว็บในพอร์ตที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลผ่านทาง HTTP และ HTTPS บ่อยที่สุด แอปพลิเคชันจะสแกนการเชื่อมต่อที่เข้ารหัส (HTTPS) ก็ต่อเมื่อได้ทำการเลือกช่องทำเครื่องหมายตรวจสอบการเชื่อมต่อที่ปลอดภัย (HTTPS) สำหรับ <ชื่อส่วนประกอบ> ในส่วนทั่วไปบนแท็บการป้องกันเท่านั้น

เปิด/ปิดใช้งานการเรียกดูอย่างปลอดภัย

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บการป้องกัน ในส่วน การเรียกดูอย่างปลอดภัย ให้เลือก/ยกเลิกการเลือกช่องทำเครื่องหมายเปิดใช้งานการเรียกดูอย่างปลอดภัย

คุณยังสามารถเปิดใช้งานการเรียกดูอย่างปลอดภัยผ่าน สถานะการป้องกัน การปิดใช้งานการป้องกันคอมพิวเตอร์หรือปิดใช้งานส่วนประกอบการป้องกัน จะทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณมีความเสี่ยงสูงที่จะติดไวรัส นี่คือสาเหตุที่สถานะการป้องกันจะแจ้งคุณเมื่อคุณปิดใช้งานการป้องกัน

สำคัญ:หากคุณปิดใช้งานการเรียกดูอย่างปลอดภัยแล้ว ระบบจะไม่เปิดใช้งานเองโดยอัตโนมัติเมื่อแอปพลิเคชันเริ่มทำงานอีกครั้งหรือเมื่อระบบปฏิบัติการรีสตาร์ท คุณต้องเปิดใช้การเรียกดูอย่างปลอดภัยอีกครั้งด้วยตนเอง

การเรียกดูอย่างปลอดภัยจะสแกนปริมาณการใช้ข้อมูลเว็บตามการตั้งค่าที่ Kaspersky แนะนำ ระบบจะจำแนกวัตถุที่เป็นอันตรายจากการวิเคราะห์ลายเซ็น การวิเคราะห์เรียนรู้ และข้อมูลจาก Kaspersky Security Network

การตรวจหาภัยคุกคามฟิชชิ่งและที่อยู่เว็บที่เป็นอันตรายจากลิงก์ในเว็บไซต์จะทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีฟิชชิ่งได้ การโจมตีด้วยฟิชชิ่งมักอยู่ในรูปข้อความอีเมลจากมิจฉาชีพซึ่งสวมรอยเป็นสถาบันทางการเงิน (เช่นธนาคารต่าง ๆ) และส่งลิงก์ไปยังเว็บไซต์หลอกลวง ในอีเมลเหล่านี้ มิจฉาชีพจะพยายามหลอกให้ผู้ใช้เข้าเว็บไซต์ฟิชชิ่งและป้อนข้อมูลที่เป็นความลับ (เช่น หมายเลขบัตรธนาคารของคุณ หรือชื่อและรหัสผ่านเข้าบัญชีธนาคารออนไลน์ของคุณ เป็นต้น) การโจมตีด้วยฟิชชิ่งอาจถูกอำพราง เช่น อำพรางเป็นข้อความจากธนาคารของคุณโดยมีลิงก์ไปยังเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของธนาคาร แต่ที่จริงแล้วลิงก์นั้นจะนำคุณไปยังสำเนาที่เหมือนเป๊ะของเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของธนาคารที่พวกสวมรอยสร้างขึ้น

การเรียกดูอย่างปลอดภัยจะติดตามปริมาณการใช้ข้อมูลเว็บของคุณเพื่อหาความพยายามเข้าเว็บไซต์ฟิชชิ่ง และจะบล็อกการเข้าถึงเว็บไซต์ดังกล่าว เพื่อตรวจหาภัยคุกคามฟิชชิงและที่อยู่เว็บที่เป็นอันตรายจากลิงก์ในเว็บไซต์แอปพลิเคชัน Kaspersky จะใช้ฐานข้อมูลแอปพลิเคชัน การวิเคราะห์แบบศึกษาสำนึก และข้อมูลจาก Kaspersky Security Network

อัลกอริทึมสแกนปริมาณการใช้ข้อมูลเว็บ

เว็บไซต์หรือไฟล์แต่ละรายการที่คุณหรือแอปพลิเคชันเข้าถึงผ่านโปรโตคอล HTTP และ HTTPS จะถูกดักสแกนหารหัสที่เป็นอันตรายโดยการเรียกดูอย่างปลอดภัย:

  • หากเว็บไซต์หรือไฟล์มีรหัสที่เป็นอันตราย แอปพลิเคชันจะสามารถบล็อกเว็บไซต์หรือไฟล์นั้น แล้วแสดงข้อความแจ้งเตือนว่าไฟล์หรือเว็บไซต์ที่ร้องขอนั้นติดไวรัส
  • หากไฟล์หรือเว็บไซต์นั้นไม่มีรหัสที่เป็นอันตราย คุณก็จะสามารถเข้าถึงได้ทันที

ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของการเรียกดูอย่างปลอดภัยและอ็อบเจ็กต์ปริมาณการใช้ข้อมูลเว็บที่เป็นอันตรายทั้งหมดที่ตรวจพบจะถูกบันทึกในรายงาน

หมายเหตุ: หากการเรียกดูอย่างปลอดภัยหยุดการทำงานโดยมีข้อผิพลาด คุณสามารถดูรายงานการเรียกดูอย่างปลอดภัยและพยายามรีสตาร์ทส่วนประกอบนี้ได้ หากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข คุณสามารถติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของ Kaspersky

ดูรายงานการเรียกดูอย่างปลอดภัย

  1. ในแถบเมนูเลือก การป้องกัน > รายงาน

    หน้าต่าง รายงาน จะปิดขึ้น

  2. เปิดแท็บ การเรียกดูอย่างปลอดภัย
ด้านบนของหน้า
[Topic 58556]

ขอบเขตการป้องกันคอมพิวเตอร์

ออบเจ็กต์ที่ตรวจพบโดยแอปพลิเคชัน Kaspersky แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ตามคุณลักษณะต่างๆ แอปพลิเคชันจะทำการค้นหาไวรัส เวิร์ม โทรจัน และเครื่องมือที่เป็นอันตรายอยู่เสมอ โปรแกรมเหล่านี้อาจทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณเสียหายร้ายแรงได้ เพื่อให้การป้องกันคอมพิวเตอร์ของคุณวางใจได้มากขึ้น คุณสามารถเพิ่มรายการของวัตถุที่ตรวจจับได้ โดยเปิดใช้งานให้แอปพลิเคชันตรวจหา Stalkerware และซอฟต์แวร์ถูกกฎหมายอื่น ๆ ที่ผู้บุกรุกสามารถใช้เพื่อสร้างความเสียหายต่อคอมพิวเตอร์ของคุณหรือข้อมูลส่วนตัว

แอปพลิเคชัน Kaspersky ป้องกันคุณจากออบเจ็กต์ซึ่งจัดกลุ่มไว้ดังต่อไปนี้:

  • ไวรัส เวิร์ม โทรจัน เครื่องมือที่เป็นอันตราย แอดแวร์ และการต่อคู่สายอัตโนมัติ

    หมวดหมู่นี้รวมถึง:

    1. มัลแวร์ทุกประเภท
    2. ซอฟต์แวร์ที่ก่อความรำคาญด้วยการแสดงโฆษณา (เช่น แบนเนอร์) บนคอมพิวเตอร์ของคุณหรือแทนที่ผลการค้นหาในเบราเซอร์ของคุณด้วยเว็บไซต์โฆษณา
    3. แอปพลิเคชันที่เปิดการเชื่อมต่อโทรศัพท์ลับผ่านทางโมเด็ม

    การป้องกันจากมัลแวร์ทุกประเภทช่วยรับประกันระดับความปลอดภัยขั้นต่ำที่จำเป็น ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญของ Kaspersky แอปพลิเคชันจะตรวจสอบออบเจ็กต์ประเภทนี้เสมอ

  • Stalkerware และซอฟต์แวร์ที่ผู้บุกรุกสามารถใช้เพื่อสร้างความเสียหายต่อคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลส่วนตัวของคุณ หมวดหมู่นี้รวมถึง Stalkerware และซอฟต์แวร์ถูกกฎหมายอื่น ๆ ที่ผู้บุกรุกใช้เพื่อสร้างความเสียหายให้กับคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น แอปพลิเคชันการดูแลระบบระยะไกล

เลือกหมวดหมู่ของวัตถุที่จะตรวจจับ

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บ ภัยคุกคาม ในส่วน หมวดหมู่วัตถุที่ตรวจจับ ให้เลือกช่องทำเครื่องหมายถัดจากหมวดหมู่ของวัตถุที่จะตรวจจับ

    หมายเหตุ: แอปพลิเคชัน Kaspersky จะป้องกันคุณจากไวรัส เวิร์ม โทรจัน เครื่องมือที่เป็นอันตราย แอดแวร์และตัวต่อสายอัตโนมัติเสมอ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยกเลิกการเลือกช่องทำเครื่องหมายสำหรับหมวดหมู่นี้

แอปพลิเคชัน Kaspersky ใช้ฐานข้อมูลป้องกันไวรัสบางส่วนหรือทั้งหมดเมื่อใช้งาน File Anti-Virus, การเรียกดูอย่างปลอดภัย และ งานสแกนไวรัส ขึ้นอยู่กับหมวดหมู่ออบเจ็กต์ที่เลือกในการตรวจจับ

หมายเหตุ: หากแอปพลิเคชัน Kaspersky ระบุว่าแอปพลิเคชันเป็นมัลแวร์ แต่คุณเชื่อว่าแอปดังกล่าวปลอดภัย คุณสามารถเพิ่มแอปพลิเคชันนี้ไปยังโซนที่เชื่อถือได้

โซนที่เชื่อถือได้ คือรายการของออบเจ็กต์ที่แอปพลิเคชันไม่สแกนหรือตรวจสอบ คุณอาจต้องเพิ่มวัตถุไปยังโซนที่เชื่อถือได้ หากแอปพลิเคชัน Kaspersky บล็อกการเข้าถึงไฟล์ แอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ แม้คุณจะแน่ใจว่าออบเจ็กต์ แอปพลิเคชัน หรือที่อยู่เว็บนี้ไม่มีอันตรายใดๆ

เมื่อเพิ่มแอปพลิเคชันไปยังโซนที่เชื่อถือได้กิจกรรมเกี่ยวกับไฟล์และเครือข่าย (รวมถึงกิจกรรมที่น่าสงสัย) ของแอปพลิเคชันจะไม่ได้รับการตรวจสอบอีกต่อไป อย่างไรก็ตามแอปพลิเคชัน Kaspersky จะยังสแกนไฟล์ที่เรียกใช้งานได้และประมวลผลแอปพลิเคชันที่เชื่อถือได้ต่อไป

เพิ่ม/ลบไฟล์หรือโฟลเดอร์ ไปยัง/ออกจากรายการไฟล์และโฟลเดอร์ที่เชื่อถือได้

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บ ภัยคุกคาม ในส่วน การละเว้น ให้คลิก โซนที่เชื่อถือได้

    หน้าต่างการตั้งค่าโซนที่เชื่อถือได้จะเปิดขึ้น

  3. ในแท็บ ไฟล์และโฟลเดอร์ที่เชื่อถือได้ ให้แก้ไขรายการไฟล์และโฟลเดอร์ที่เชื่อถือได้:
    • หากต้องการเพิ่มไฟล์หรือโฟลเดอร์ไปยังรายการ:
      1. คลิก

        กล่องโต้ตอบที่คุณสามารถเลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์จะเปิดขึ้น

      2. เลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่คุณต้องการเพิ่ม
      3. คลิก เปิด
    • หากต้องการลบไฟล์หรือโฟลเดอร์ออกจากรายการ:
      1. เลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่คุณต้องการลบออกจากรายการไฟล์และโฟลเดอร์ที่เชื่อถือได้
      2. คลิก
  4. คลิก ตกลง

เพิ่ม/ลบที่อยู่เว็บที่เชื่อถือได้ ไปยัง/ออกจากรายการที่อยู่เว็บที่เชื่อถือได้

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บ ภัยคุกคาม ในส่วน การละเว้น ให้คลิก โซนที่เชื่อถือได้

    หน้าต่างการตั้งค่าโซนที่เชื่อถือได้จะเปิดขึ้น

  3. ในแท็บ ที่อยู่เว็บที่เชื่อถือได้ ให้แก้ไขรายการที่อยู่เว็บที่เชื่อถือได้:
    • หากต้องการเพิ่มที่อยู่เว็บไปยังรายการ:
      1. คลิก
      2. ป้อนที่อยู่เว็บที่คุณต้องการเพิ่มเข้าไปในรายการ
      3. คลิก ตกลง
    • หากต้องการลบที่อยู่เว็บออกจากรายการ:
      1. เลือกที่อยู่เว็บที่คุณต้องการลบออก
      2. คลิก
  4. คลิก ตกลง

ตามค่าเริ่มต้น รายการที่อยู่เว็บที่เชื่อถือได้จะว่างเปล่า

เปิดใช้งานการตรวจสอบที่อยู่เว็บที่เชื่อถือได้

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บ ภัยคุกคาม ในส่วน การละเว้น ให้คลิก โซนที่เชื่อถือได้

    หน้าต่างการตั้งค่าโซนที่เชื่อถือได้จะเปิดขึ้น

  3. ในแท็บ ที่อยู่เว็บที่เชื่อถือได้ ให้ยกเลิกการเลือกช่องทำเครื่องหมายถัดจากที่อยู่เว็บที่คุณต้องการให้แอปพลิเคชัน Kaspersky ตรวจสอบ
  4. คลิก ตกลง
ด้านบนของหน้า
[Topic 96925]

การสแกน

File Anti-Virus และการเรียกดูอย่างปลอดภัย ให้การป้องกันคอมพิวเตอร์ตามเวลาจริง แต่เราขอแนะนำให้คุณสแกนคอมพิวเตอร์เป็นประจำเพื่อค้นหาไวรัสและภัยคุกคามความปลอดภัยแบบอื่น ๆ ในคอมพิวเตอร์ จำเป็นต้องสแกนคอมพิวเตอร์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของมัลแวร์ที่อยู่นอกเหนือการค้นหาของส่วนประกอบการป้องกัน

แอปพลิเคชัน Kaspersky มีการสแกนที่มาพร้อมกับแอปต่อไปนี้:

  • สแกนทั้งระบบ

    การสแกนไวรัสจากหน่วยความจำ อ็อบเจ็กต์เริ่มต้น และดิสก์ภายในทั้งหมดของคอมพิวเตอร์

  • สแกนแบบเร็ว

    การสแกนไวรัสจากเฉพาะบริเวณที่สำคัญของคอมพิวเตอร์: หน่วยความจำ อ็อบเจ็กต์เริ่มต้น และโฟลเดอร์ระบบ

  • การสแกนแบบปรับแต่งเอง

    การสแกนไวรัสจากออบเจ็กต์ที่ระบุ (ไฟล์ โฟลเดอร์ ดิสก์ภายใน หรือดิสก์แบบถอดได้)

  • การสแกนดิสก์ภายนอก

    การสแกนไวรัสจากดิสก์ภายนอกที่ดำเนินการเมื่อมีการเชื่อมต่อดิสก์ภายนอกเข้ากับคอมพิวเตอร์

เมื่อแอปพลิเคชันทำการสแกน แอปจะจำแนกออบเจ็กต์ที่เป็นอันตรายได้ด้วยการวิเคราะห์ลายเซ็น นอกจากการวิเคราะห์ลายเซ็นแล้ว แอปพลิเคชัน Kaspersky ยังใช้การการวิเคราะห์เรียนรู้และเทคโนโลยีการสแกนอื่นๆ อีกด้วย

เริ่มการสแกนแบบเต็มและการสแกนด่วน

  1. ที่แถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก สแกน

    หน้าต่างสแกนจะเปิด

  2. ในหน้าต่าง สแกน คลิก เริ่มการสแกนเต็มรูปแบบ หรือ เริ่มต้นการสแกนอย่างรวดเร็ว

เริ่มทำการสแกนแล้ว

คุณยังสามารถเรียกใช้การสแกนแบบเต็มหรือการสแกนด่วนบน My Kaspersky ได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินการสแกนคอมพิวเตอร์บน My Kaspersky โปรดดูที่ความช่วยเหลือ My Kaspersky

เริ่มการสแกนที่กำหนดเอง

  1. ที่แถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก สแกน

    หน้าต่างสแกนจะเปิด

  2. หากต้องการเริ่ม การสแกนแบบปรับแต่งเอง ให้ลากไฟล์หรือโฟลเดอร์ไปยังเลือกไฟล์และโฟลเดอร์เพื่อสแกน หรือลากลงมาที่หน้าต่างนี้หรือคลิกที่เลือกแล้วเปิดไฟล์หรือโฟลเดอร์

เริ่มทำการสแกนแล้ว

หยุดการสแกน

  1. ที่แถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก สแกน

    หน้าต่างสแกนจะเปิด

  2. ในหน้าต่าง สแกน คลิก หยุด ด้านข้างการสแกนที่คุณต้องการหยุด

    กล่องโต้ตอบยืนยันจะเปิดขึ้น

  3. ในกล่องยืนยันการดำเนินการ คลิก หยุด

หยุดทำการสแกนแล้ว

คุณสามารถกำหนดเวลาให้งานสแกนแบบเต็มหรือสแกนด่วนได้

กำหนดเวลาให้งานสแกนจากหน้าต่างสแกน

  1. ที่แถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก สแกน

    หน้าต่างสแกนจะเปิด

  2. คลิก กำหนดเวลาสแกน

    กล่องข้อความจะเปิดขึ้นมาให้คุณตั้งกำหนดเวลาได้

  3. เลือกช่องทำเครื่องหมายสแกนทั้งระบบหรือสแกนแบบเร็ว
  4. ระบุความถี่ของการสแกนและเวลาเริ่มต้นสแกน
  5. คลิก ตกลง

กำหนดเวลาให้งานสแกนจากหน้าต่างการตั้งค่า

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บสแกน ให้คลิกที่กำหนดเวลา
  3. ในหน้าต่างที่เปิดขึ้น เลือกช่องทำเครื่องหมายถัดจากชื่อของการสแกนที่คุณต้องการเริ่มในกำหนดเวลา
  4. กำหนดค่าความถี่และเวลาในการสแกน
  5. คลิกตกลงเพื่อบันทึกความเปลี่ยนแปลงที่ดำเนินการไปยังกำหนดการการสแกน

เมื่อเชื่อมต่อดิสก์ภายนอกเข้ากับคอมพิวเตอร์แอปพลิเคชัน Kaspersky สามารถเริ่มต้นสแกนดิสก์อัตโนมัติ แจ้งให้สแกน หรือไม่ดำเนินการใดๆ คุณสามารถเลือกตัวเลือกข้อใดข้อหนึ่งในการตั้งค่าของงานการสแกนดิสก์ภายนอก

เลือกการดำเนินการที่จะให้แอปพลิเคชัน Kaspersky ดำเนินการเมื่อมีการเชื่อมต่อดิสก์ภายนอกเข้ากับคอมพิวเตอร์

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บสแกน ในรายการทางด้านซ้าย ให้เลือกงานการสแกนดิสก์ภายนอก
  3. ในส่วนเมื่อเชื่อมต่อกับดิสก์ภายนอก ให้เลือกการดำเนินการที่จะให้แอปพลิเคชัน Kaspersky ดำเนินการเมื่อมีการเชื่อมต่อดิสก์ภายนอก

การสแกนแบบเต็มและสแกนด่วนมีการกำหนดขอบเขตการสแกนไว้อยู่แล้ว ขณะที่ทำการสแกนแบบเต็ม แอปพลิเคชัน Kaspersky จะสแกนหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ ออบเจ็กต์ที่เริ่มต้นเมื่อเปิดระบบและดิสก์ภายในทั้งหมด ขณะที่ทำการสแกนด่วน แอปพลิเคชันจะสแกนหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ ออบเจ็กต์ที่เริ่มต้นเมื่อเปิดระบบและโฟลเดอร์ระบบ คุณสามารถปรับเปลี่ยนขอบเขตการสแกนของการสแกนด่วนได้

หมายเหตุ: คุณสามารถข้ามการสแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียวได้ เพื่อลดเวลาที่ใช้ในการสแกนได้อย่างมีนัยสำคัญ ตามค่าเริ่มต้น แอปพลิเคชันจะไม่สแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านอย่างเดียวขณะที่ดำเนินงานสแกนด่วน แต่จะสแกนไดรฟ์ข้อมูลดังกล่าวขณะที่ดำเนินงานสแกนแบบเต็ม

เปิดใช้งาน/ปิดใช้งานการสแกนไดรฟ์ข้อมูลระบบแบบอ่านเท่านั้น

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. บนแท็บสแกนในรายการทางด้านซ้าย ให้เลือกสแกนทั้งระบบหรือสแกนแบบเร็ว
  3. ในส่วน การเพิ่มประสิทธิภาพ ให้เว้น/เลือกช่องทำเครื่องหมาย ข้ามการสแกนข้อมูลไดรฟ์ระบบสำหรับอ่านเท่านั้น

    สำคัญ: อาจไม่มีการเปิดใช้งานการเพิ่มประสิทธิภาพเนื่องด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

เพิ่ม/ลบไฟล์หรือโฟลเดอร์ไปที่/จากขอบเขตการสแกนของการสแกนด่วน

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. บนแท็บ สแกน ในรายการทางด้านซ้าย ให้เลือกงาน สแกนแบบเร็ว
  3. ในส่วน ขอบเขตการสแกน คลิก แก้ไข

    หน้าต่างที่มีรายการวัตถุในขอบเขตการสแกนของการสแกนด่วนจะเปิดขึ้นมา

  4. แก้ไขรายการวัตถุในขอบเขตการสแกน:
    • เพิ่มไฟล์หรือโฟลเดอร์ไปที่ขอบเขตการสแกนของการสแกนด่วน:
      1. คลิก

        เมนูป๊อปอัปที่คุณสามารถเลือกวัตถุที่จะเพิ่มเข้าไปในขอบเขตการสแกนจะปรากฏขึ้น

      2. เลือก ไฟล์และโฟลเดอร์

        กล่องโต้ตอบที่คุณสามารถเลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์จะเปิดขึ้น

      3. เลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่คุณต้องการเพิ่มเข้าไปในขอบเขตการสแกนของการสแกนด่วน
      4. คลิก เปิด
    • ลบไฟล์หรือโฟลเดอร์จากขอบเขตการสแกนของการสแกนด่วน
      1. เลือกวัตถุที่คุณต้องการลบออก
      2. ลากวัตถุที่เลือกจากหน้าต่างหรือคลิก
  5. คลิก บันทึก

เพิ่มวัตถุบนรายการเริ่มต้นของการสแกนด่วนเข้าไปในขอบเขตการสแกนของการสแกนด่วน

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. บนแท็บ สแกน ในรายการทางด้านซ้าย ให้เลือก สแกนแบบเร็ว
  3. ในส่วน ขอบเขตการสแกน คลิก แก้ไข

    หน้าต่างที่มีรายการวัตถุในขอบเขตการสแกนของการสแกนด่วนจะเปิดขึ้นมา

  4. คลิก

    เมนูป๊อปอัปที่คุณสามารถเลือกวัตถุที่จะเพิ่มเข้าไปในขอบเขตการสแกนจะปรากฏขึ้น

  5. เลือกวัตถุที่คุณต้องการเพิ่มเข้าไปในขอบเขตการสแกน (เช่น หน่วยความจำ)
  6. คลิก บันทึก

ปิดใช้งานการป้องกันของวัตถุในขอบเขตการสแกนของการสแกนด่วน

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. บนแท็บ สแกน ในรายการทางด้านซ้าย ให้เลือก สแกนแบบเร็ว
  3. ในส่วน ขอบเขตการสแกน คลิก แก้ไข

    หน้าต่างรายการวัตถุในขอบเขตการสแกนจะปรากฏขึ้น

  4. ยกเลิกการเลือกช่องทำเครื่องหมายถัดจากอ็อบเจ็กต์ที่คุณไม่ต้องการสแกนเมื่อดำเนินการสแกนด่วน
  5. คลิก บันทึก

หากมีการค้นพบภัยคุกคามในไฟล์ แอปพลิเคชันจะแสดงการแจ้งเตือนและดำเนินการตามที่ระบุไว้กับวัตถุดังกล่าว คุณสามารถปรับแต่งการดำเนินการเมื่อตรวจเจอวัตถุนั้นได้

เลือกการดำเนินการของแอปพลิเคชัน Kaspersky หลังจากตรวจพบไฟล์ที่ติดไวรัส

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. บนแท็บ สแกน เลือกการสแกนการจากรายการ
  3. ในส่วน การดำเนินการ เลือกการดำเนินการของแอปพลิเคชันหลังจากตรวจพบไฟล์ที่ติดไวรัส

ก่อนที่จะพยายามล้างการติดเชื้อหรือลบไฟล์ที่ติดไวรัสแอปพลิเคชัน Kaspersky จะบันทึกสำเนาสำรองข้อมูลสำหรับการกู้คืนหรือการกำจัดไวรัสในภายหลัง ไฟล์สำเนาจะปรากฎใน การกักกัน คุณสามารถลองล้างการติดเชื้อในไฟล์นี้ได้ภายหลังโดยใช้ฐานข้อมูลป้องกันไวรัสที่อัปเดตแล้ว

ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการสแกนและวัตถุที่ตรวจพบทั้งหมดจะบันทึกไว้ในรายงาน

หมายเหตุ: หากเกิดข้อผิดพลาดระหว่างดำเนินการสแกนไวรัส ให้เริ่มขั้นตอนใหม่อีกครั้ง หากทำการสแกนครั้งใหม่แล้วยังเกิดข้อผิดพลาด ให้ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของ Kaspersky

อ่านรายงานการสแกน

  1. ในแถบเมนูเลือก การป้องกัน > รายงาน

    หน้าต่าง รายงาน จะปิดขึ้น

  2. เปิดแท็บ สแกน

ข้อมูลบอกความคืบหน้าของแต่ละการสแกน (เปอร์เซ็นต์ส่วนที่เสร็จแล้วและเวลาที่เหลือ) จะแสดงอยู่ในหน้าต่าง สแกน

ด้านบนของหน้า
[Topic 58390]

ตัวบล็อกการโจมตีเครือข่าย

แอปพลิเคชัน Kaspersky ป้องกันคอมพิวเตอร์ของคุณจากการโจมตีเครือข่าย

การโจมตีเครือข่าย คือการพยายามบุกรุกเข้ามาในระบบปฏิบัติการจากคอมพิวเตอร์อีกเครื่องในระยะไกล อาชญากรพยายามโจมตีเครือข่ายเพื่อควบคุมระบบปฏิบัติการ ทำให้ระบบปฏิบัติการใช้งานไม่ได้ หรือเพื่อเข้าถึงข้อมูลละเอียดอ่อน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ อาชญากรจะทำการโจมตีโดยตรง เช่น การสแกนพอร์ตและการโจมตีระบบโดยตรง หรือใช้มัลแวร์ที่ติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ที่ถูกโจมตี

การโจมตีเครือข่ายแบ่งได้ตามประเภทต่อไปนี้:

  • การสแกนพอร์ต การโจมตีเครือข่ายประเภทนี้มักจะดำเนินการเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีเครือข่ายที่อันตรายกว่า ผู้บุกรุกสแกนพอร์ต UDP / TCP ที่ใช้บริการเครือข่ายในคอมพิวเตอร์เป้าหมาย และระบุช่องโหว่ของคอมพิวเตอร์เป้าหมายเพื่อการโจมตีเครือข่ายประเภทอื่นที่อันตรายยิ่งกว่า การสแกนพอร์ตยังช่วยให้ผู้บุกรุกระบุระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์เป้าหมาย และเลือกการโจมตีเครือข่ายที่เหมาะสมสำหรับระบบปฏิบัติการนั้น
  • การโจมตี DoS หรือการโจมตีเครือข่ายเพื่อให้ระบบใช้บริการไม่ได้ การโจมตีเครือข่ายดังกล่าวทำให้ระบบปฏิบัติการเป้าหมายไม่เสถียรหรือไม่สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์

    มีการโจมตี DoS ประเภทหลัก ๆ ดังต่อไปนี้:

    • การส่งแพคเก็ตเครือข่ายที่ออกแบบมาเป็นพิเศษซึ่งคอมพิวเตอร์เป้าหมายไม่ได้คาดการณ์ไว้ และทำให้ระบบปฏิบัติการเป้าหมายทำงานผิดปกติหรือล้มเหลว
    • การส่งแพคเกจเครือข่ายจำนวนมากไปยังคอมพิวเตอร์ระยะไกลในช่วงเวลาสั้นๆ ทรัพยากรทั้งหมดของคอมพิวเตอร์เป้าหมายจะถูกใช้ในการประมวลผลแพคเก็ตเครือข่ายที่ส่งโดยผู้บุกรุก จึงทำให้คอมพิวเตอร์หยุดทำงานตามหน้าที่
  • การโจมตีบุกรุกเครือข่าย การโจมตีเครือข่ายดังกล่าวออกแบบมาเพื่อ "ปล้น" ระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์เป้าหมาย การโจมตีนี้ถือเป็นประเภทการโจมตีเครือข่ายที่อันตรายที่สุด เพราะหากการโจมตีสำเร็จผู้บุกรุกจะสามารถควบคุมระบบปฏิบัติการทั้งหมดได้

    การโจมตีเครือข่ายประเภทนี้ใช้เมื่อผู้บุกรุกต้องการได้ข้อมูลที่เป็นความลับจากคอมพิวเตอร์ระยะไกล (เช่น หมายเลขบัตรธนาคารหรือรหัสผ่าน) หรือลักลอบใช้คอมพิวเตอร์ระยะไกลเพื่อวัตถุประสงค์ของตน (เช่น การโจมตีคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นจากคอมพิวเตอร์เครื่องนี้)

เปิด/ปิดใช้งานตัวบล็อกการโจมตีเครือข่าย

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บ การป้องกัน ในส่วน ตัวบล็อกการโจมตีเครือข่าย เลือก/เว้นช่องทำเครื่องหมาย เปิดใช้งานตัวบล็อกการโจมตีเครือข่าย

คุณสามารถเปิดใช้งานตัวบล็อกการโจมตีเครือข่ายได้ในสถานะการป้องกัน การปิดใช้งานการป้องกันคอมพิวเตอร์หรือปิดใช้งานส่วนประกอบการป้องกัน จะทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณมีความเสี่ยงสูงที่จะติดไวรัส นี่คือสาเหตุที่สถานะการป้องกันจะแจ้งคุณเมื่อคุณปิดใช้งานการป้องกัน

สำคัญ: หากคุณปิดใช้งานตัวบล็อกการโจมตีเครือข่ายระบบจะไม่เปิดใช้งานเองโดยอัตโนมัติเมื่อ Kaspersky เริ่มทำงานอีกครั้งหรือหลังจากที่ระบบปฏิบัติการรีสตาร์ท คุณจะต้องเปิดใช้งานตัวบล็อกการโจมตีเครือข่ายอีกครั้งด้วยตนเอง

เมื่อแอปพลิเคชันตรวจพบกิจกรรมเครือข่ายที่เป็นอันตราย แอปพลิเคชัน Kaspersky จะเพิ่มที่อยู่ IP ของคอมพิวเตอร์ที่โจมตีไปยังรายการคอมพิวเตอร์ที่บล็อกโดยอัตโนมัติ เว้นแต่คอมพิวเตอร์ที่โจมตีอยู่ในรายการคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้

แก้ไขรายการคอมพิวเตอร์ที่บล็อก

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บ การป้องกัน ในส่วน ตัวบล็อกการโจมตีเครือข่าย เลือกช่องทำเครื่องหมาย เปิดใช้งานตัวบล็อกการโจมตีเครือข่าย
  3. คลิก การตั้งค่า

    หน้าต่างที่มีรายการคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้และรายการคอมพิวเตอร์ที่บล็อกจะเปิดขึ้น

  4. เปิดแท็บ คอมพิวเตอร์ที่ถูกบล็อก
  5. หากคุณแน่ใจว่าคอมพิวเตอร์ที่ถูกบล็อกไม่ใช่ภัยคุกคามให้เลือกที่อยู่ IP ของคอมพิวเตอร์ในรายการและคลิก ยกเลิกการบล็อก

    กล่องโต้ตอบยืนยันจะเปิดขึ้น

  6. ในกล่องโต้ตอบยืนยันให้เลือกหนึ่งในรายการต่อไปนี้:
    • หากคุณต้องการปลดบล็อกคอมพิวเตอร์นี้ ให้คลิก ยกเลิกการบล็อก

      แอปพลิเคชัน Kaspersky จะปลดบล็อกที่อยู่ IP นี้้

    • หากคุณไม่ต้องการให้แอปพลิเคชันบล็อกที่อยู่ IP ที่เลือกไว้อีก ให้คลิก ปลดบล็อกและละเว้น

      แอปพลิเคชัน Kaspersky จะปลดบล็อกที่อยู่ IP และเพิ่มเข้าไปในรายการคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้

  7. คลิก บันทึก

คุณสามารถสร้างและแก้ไขรายการคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะไม่บล็อกที่อยู่ IP ของคอมพิวเตอร์เหล่านี้โดยอัตโนมัติ แม้ว่าจะตรวจพบกิจกรรมเครือข่ายอันตรายจากคอมพิวเตอร์เหล่านี้

แก้ไขรายการคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บ การป้องกัน ในส่วน ตัวบล็อกการโจมตีเครือข่าย เลือกช่องทำเครื่องหมาย เปิดใช้งานตัวบล็อกการโจมตีเครือข่าย
  3. คลิก การตั้งค่า

    หน้าต่างที่มีรายการคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้และรายการคอมพิวเตอร์ที่บล็อกจะเปิดขึ้น

  4. เปิดแท็บ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือ
  5. แก้ไขรายการคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้:
    • เพิ่มที่อยู่ IP ลงในรายการคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้:
      1. คลิก
      2. ในช่องที่ปรากฏขึ้นให้ป้อนที่อยู่ IP ของคอมพิวเตอร์ที่คุณเชื่อถือว่าปลอดภัย
    • หากต้องการลบที่อยู่ IP ออกจากรายการคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้:
      1. ให้เลือกที่อยู่ IP ในรายการ
      2. คลิก
    • หากต้องการแก้ไขที่อยู่ IP ในรายการคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้:
      1. ให้เลือกที่อยู่ IP ในรายการ
      2. คลิก แก้ไข
      3. เปลี่ยนที่อยู่ IP
  6. คลิก บันทึก

เมื่อตรวจพบการโจมตีเครือข่าย แอปพลิเคชัน Kaspersky จะบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการโจมตีในรายงาน

หมายเหตุ: หากส่วนประกอบตัวบล็อกการโจมตีเครือข่ายหยุดทำงานจากข้อผิดพลาด คุณสามารถดูรายงานและลองรีสตาร์ทส่วนประกอบ หากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข คุณสามารถติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของ Kaspersky

ดูรายงานตัวบล็อกการโจมตีเครือข่าย

  1. ในแถบเมนูเลือก การป้องกัน > รายงาน

    หน้าต่าง รายงาน จะปิดขึ้น

  2. เปิดแท็บ ตัวบล็อกการโจมตีเครือข่าย
ด้านบนของหน้า
[Topic 88075]

ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

คุณสามารถตั้งเครือข่าย Wi-Fi ส่นตัวเป็นเครือข่ายในบ้านของคุณได้ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายนี้ในหน้าต่าง ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

หมายเหตุ: ฟังก์ชันการทำงานนี้พร้อมใช้งานใน Kaspersky Plus และ Premium เท่านั้น

เปิดหน้าต่าง ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

บนแถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

ในหน้าต่าง ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม แอปพลิเคชันจะถามว่าคุณต้องการตั้งเครือข่าย Wi-Fi เป็นเครือข่ายในบ้านหรือไม่เมื่อคุณเข้าร่วมเครือข่าย Wi-Fi ส่วนตัว หากคุณไม่ได้ตั้งเครือข่ายในบ้านใดๆ ไว้ แอปพลิเคชัน Kaspersky จะแสดงการแจ้งเตือนด้วย

ตั้งเครือข่าย Wi-Fi เป็นเครือข่ายในบ้านในหน้าต่างตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

  1. บนแถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

    หน้าต่าง ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม จะเปิดขึ้น

  2. คลิกที่ใช่ นี่คือเครือข่ายในบ้านของฉัน

เครือข่ายที่เลือกจะกลายเป็นเครือข่ายในบ้านของคุณ

คุณสามารถทำให้แอปพลิเคชัน Kaspersky ลืมเครือข่าย Wi-Fi ที่ไม่ได้เป็นเครือข่ายในบ้านของคุณอีกแล้วได้

หมายเหตุ: ฟังก์ชันการทำงานนี้พร้อมใช้งานใน Kaspersky Plus และ Premium เท่านั้น

ลืมเครือข่ายในบ้านปัจจุบัน

  1. บนแถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

    หน้าต่าง ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม จะเปิดขึ้น

  2. ในบานหน้าต่างด้านบน ให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เลือกเครือข่ายที่ต้องการแล้วคลิก
  3. ในกล่องข้อความที่เปิดขึ้น ให้คลิกที่ลืม

คุณสามารถอัปเดตรายการอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายในบ้านของคุณได้ด้วยตนเอง

ดูและอัปเดตรายการอุปกรณ์เครือข่ายในบ้าน

  1. บนแถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

    หน้าต่าง ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม จะเปิดขึ้น

  2. ดูรายการอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายในบ้านของคุณ
  3. ในบานหน้าต่างด้านบน ให้คลิกที่

แอปพลิเคชัน Kaspersky จะอัปเดตรายการอุปกรณ์

หมายเหตุ: คุณยังสามารถดูรายการอุปกรณ์ที่พบในเครือข่ายในบ้านของคุณได้ในหน้า หน้าหลัก ของหน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก

หากอุปกรณ์ไม่ได้เชื่อมต่อกับเครือข่ายของคุณอีกต่อไปแล้ว (ตัวอย่างเช่นโทรศัพท์เครื่องเก่าเป็นต้น) คุณสามารถลบอุปกรณ์นี้ออกจากรายการเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายในบ้านของคุณได้

เปลี่ยนภาพอุปกรณ์

  1. บนแถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

    หน้าต่าง ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม จะเปิดขึ้น

  2. ในบานหน้าต่างด้านซ้ายของหน้าต่าง ให้คลิกอุปกรณ์ในรายการ

    ข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์จะปรากฏในบานหน้าต่างด้านขวาของหน้าต่าง

  3. ที่มุมบนขวา ให้คลิก แล้วเลือก เปลี่ยนรูปภาพ
  4. ในหน้าต่างที่เปิดขึ้น ให้เลือกรูปภาพสำหรับประเภทอุปกรณ์หรือหมวดหมู่ที่เลือก แล้วคลิก ตกลง

หมายเหตุ: คุณสามารถรีสโตร์ภาพเริ่มต้นได้โดยการคลิก รีเซ็ตเป็นค่าเริ่มต้น

เปลี่ยนชื่ออุปกรณ์

  1. บนแถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

    หน้าต่าง ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม จะเปิดขึ้น

  2. ในบานหน้าต่างด้านซ้ายของหน้าต่าง ให้คลิกอุปกรณ์ในรายการ

    ข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์จะปรากฏในบานหน้าต่างด้านขวาของหน้าต่าง

  3. ที่มุมบนขวา ให้คลิก แล้วเลือก เปลี่ยนชื่อ
  4. ป้อนชื่ออุปกรณ์ใหม่ในช่องชื่ออุปกรณ์

ลบอุปกรณ์ออกจากรายการอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายในบ้านของคุณ

  1. บนแถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

    หน้าต่าง ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม จะเปิดขึ้น

  2. ในบานหน้าต่างด้านซ้ายของหน้าต่าง ให้คลิกอุปกรณ์ในรายการ

    ข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์จะปรากฏในบานหน้าต่างด้านขวาของหน้าต่าง

  3. ที่มุมบนขวา ให้คลิก แล้วเลือก ลืมอุปกรณ์

อุปกรณ์ที่เลือกไว้จะหายไปจากรายการอุปกรณ์

หากคุณพบอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักในรายการอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายในบ้านของคุณ คุณสามารถบล็อกการเข้าถึงสำหรับอุปกรณ์ดังกล่าวได้

บล็อกการเข้าถึงเครือข่ายในบ้านของคุณจากอุปกรณ์ที่ไม่รู้จัก

  1. บนแถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

    หน้าต่าง ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม จะเปิดขึ้น

  2. คลิกที่อุปกรณ์ที่ไม่รู้จักในรายการ
  3. คัดลอกที่อยู่ MAC ของอุปกรณ์นี้
  4. เลือกเราเตอร์ของคุณในรายการ
  5. คลิกไปที่การตั้งค่าเราเตอร์

    หน้าต่างการตั้งค่าเราเตอร์จะเปิดขึ้น

  6. บล็อกอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักในการตั้งค่าเราเตอร์ของคุณ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คู่มือของเราเตอร์

ปกป้องเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ

  1. บนแถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม

    หน้าต่าง ตัวตรวจสอบสมาร์ทโฮม จะเปิดขึ้น

  2. เลือกเราเตอร์ของคุณในรายการ
  3. คลิกไปที่การตั้งค่าเราเตอร์

    หน้าต่างการตั้งค่าเราเตอร์จะเปิดขึ้น

  4. ตั้งรหัสผ่านที่รัดกุมเพื่อใช้งานเราเตอร์

    คุณสามารถเปลี่ยนรหัสผ่านให้รัดกุมกว่าเดิมได้

  5. ตั้งชื่อที่ไม่ซ้ำกัน (SSID) สำหรับเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ

    การเลือกชื่อที่ไม่ซ้ำกันจะช่วยให้แยกแยะเครือข่ายของคุณได้

  6. ตั้งรหัสผ่านที่รัดกุมสำหรับเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ

    หากไม่มีรหัสผ่าน ทุกคนจะสามารถเข้าถึงเครือข่าย Wi-Fi ที่บ้านคุณได้ รหัสผ่านที่รัดกุมจะปกป้องเครือข่าย Wi-Fi ของคุณจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากบุคลภายนอก

  7. ซ่อนเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ

    ในส่วนการตั้งค่าเราเตอร์ คุณสามารถซ่อนชื่อเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ เพื่อไม่ให้ถูกตรวจพบโดยปราศจากซอฟต์แวร์ที่ระบุ

  8. เปิดใช้งานการเข้ารหัส

    เราแนะนำให้คุณใช้การเข้ารหัสเครือข่าย Wi-Fi แบบ WPA2 (AES/CCMP)

  9. ปิดใช้งาน Wi-Fi Protected Setup (WPS).

    การปิดใช้งาน WPS จะช่วยปกป้องเครือข่าย Wi-Fi ของคุณจากการแฮก

  10. เปิดใช้งานการกรองที่อยู่ของ MAC

    คุณสามารถสร้างรายการที่อยู่ MAC ของอุปกรณ์ที่คุณเชื่อถือ และอนุญาตให้เชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi หรือบล็อกการเข้าถึงอุปกรณ์ที่ระบุตามที่อยู่ MAC

  11. ลดช่วงระยะของสัญญาณ

    ในส่วนการตั้งค่าเราเตอร์ คุณสามารถเปลี่ยนช่วงระยะของสัญญาณเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ หากคุณใช้ Wi-Fi ในอพาร์ตเมนต์หรือออฟฟิศ เราแนะนำให้คุณลดช่วงระยะของสัญญาณ เพื่อให้มีการเข้าใช้เครือข่าย Wi-Fi ได้ภายในอพาร์ตเมนต์/สำนักงานเท่านั้น

  12. อัปเดตเฟิร์มแวร์ของเราเตอร์เพื่อเสริมความปลอดภัยของเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ
ด้านบนของหน้า
[Topic 143634]

การกักกัน

บางครั้งก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บรักษาความสมบูรณ์ของไฟล์ไว้ในกระบวนการชำระล้าง หากไฟล์ที่ชำระล้างมีข้อมูลสำคัญซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้บางส่วนหรือทั้งหมดหลังจากชำระล้าง คุณสามารถพยายามจะรีสโตร์ไฟล์ดั้งเดิมได้จากสำเนาสำรองข้อมูลของไฟล์

สำเนาสำรองข้อมูลเป็นสำเนาของอ็อบเจ็กต์ที่เป็นอันตรายซึ่งสร้างขึ้นในพื้นที่กักกันเมื่อแอปพลิเคชัน Kaspersky ลบไวรัสออกจากออบเจ็กต์หรือลบออบเจ็กต์

การกักกันเป็นบริเวณจัดเก็บพิเศษที่มีสำเนาสำรองข้อมูลของไฟล์ที่ถูกลบหรือแก้ไขระหว่างการชำระล้าง หน้าที่หลักของพื้นที่กักกันคือเพื่อให้ผู้ใช้สามารถรีสโตร์ไฟล์ต้นฉบับได้ทุกเมื่อ ไฟล์ในพื้นที่กักกันจะถูกจัดเก็บในรูปแบบพิเศษ และไม่เป็นอันตรายสำหรับคอมพิวเตอร์

ดูอ็อบเจ็กต์ที่ถูกกักกัน

  1. ในแถบเมนู ให้เลือกการป้องกัน > วัตถุที่ตรวจพบ

    หน้าต่างวัตถุที่ตรวจพบจะเปิดขึ้น

  2. ในส่วนการกักกัน ดูรายการของอ็อบเจ็กต์ที่กักกันไว้

คุณสามารถรีสโตร์หรือลบสำเนาสำรองข้อมูลของไฟล์จากพื้นที่กักกันได้

รีสโตร์/ลบสำเนาสำรองข้อมูลของไฟล์

  1. ในแถบเมนู ให้เลือกการป้องกัน > วัตถุที่ตรวจพบ

    หน้าต่างวัตถุที่ตรวจพบจะเปิดขึ้น

  2. ในส่วนการกักกัน ให้คลิก ซึ่งอยู่ถัดจากสำเนาข้อมูลสำรองของไฟล์ที่คุณต้องการรีสโตร์หรือลบทิ้ง

    เมนูป็อปอัปจะปรากฏขึ้น

  3. เลือกหนึ่งในรายการต่อไปนี้:
    • หากต้องการรีสโตร์ไฟล์จากสำเนาสำรองข้อมูล ให้เลือกกู้คืนไฟล์
    • หากต้องการลบสำเนาสำรองข้อมูลของไฟล์ ให้เลือกลบสำเนาที่ถูกกักเก็บไว้

สำคัญ: เราแนะนำไม่ให้คุณรีสโตร์สำเนาสำรองข้อมูลของไฟล์ เว้นแต่การกู้ไฟล์เหล่านั้นคืนจะจำเป็นอย่างที่สุด เนื่องจากการทำเช่นนั้นอาจนำไปสู่การติดไวรัสคอมพิวเตอร์ได้

ลบสำเนาสำรองข้อมูลของไฟล์ทั้งหมด

  1. ในแถบเมนู ให้เลือกการป้องกัน > วัตถุที่ตรวจพบ

    หน้าต่างวัตถุที่ตรวจพบจะเปิดขึ้น

  2. ในส่วนการกักกัน ให้คลิกที่ลบทั้งหมด

ตามค่าเริ่มต้น ไฟล์จะถูกจัดเก็บในการกักกันเป็นเวลา 30 วัน หลังจาก 30 วันแล้ว ไฟล์จะถูกลบ คุณสามารถเปลี่ยนระยะเวลาสูงสุดสำหรับการจัดเก็บไฟล์ในการกักกัน หรือปลดขีดจำกัดไปเลยก็ได้

กำหนดค่าระยะเวลาจัดเก็บไฟล์ในการกักกัน

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บภัยคุกคาม ในส่วนการกักกัน ให้ทำหนึ่งในสิ่งต่อไปนี้:
    • หากต้องการปลดขีดจำกัดระยะเวลาจัดเก็บ ให้ยกเลิกการเลือกช่องทำเครื่องหมายลบอ็อบเจ็กต์ที่กักกันหลังจาก <number> วัน
    • หากต้องการเปลี่ยนระยะเวลาจัดเก็บไฟล์ไว้ในการกักกันสูงสุด ให้ป้อนจำนวนวันลงในช่องจำนวนของช่องทำเครื่องหมายลบอ็อบเจ็กต์ที่กักกันหลังจาก <number> วัน
ด้านบนของหน้า
[Topic 59231]

การอัปเดตฐานข้อมูล

อัปเดตฐานข้อมูลแอปพลิเคชันให้ตรงเวลา ช่วยรับประกันได้ว่าคอมพิวเตอร์ของคุณได้รับการป้องกันอยู่เสมอ File Anti-Virus, การเรียกดูอย่างปลอดภัย และงานสแกนไวรัส ใช้ฐานข้อมูลแอปพลิเคชันในการตรวจค้นและกำจัดไวรัสและมัลแวร์อื่น ๆ ในคอมพิวเตอร์ของคุณ ปกติแล้วฐานข้อมูลแอปพลิเคชันจะมีการอัปเดตภัยคุกคามชนิดใหม่และวิธีการกำจัดภัยคุกคามเหล่านั้น การอัปเดตฐานข้อมูลของคุณเป็นประจำจึงสำคัญมาก

แอปพลิเคชัน Kaspersky จะดาวน์โหลดฐานข้อมูลแอปพลิเคชัน โมดูลของแอปพลิเคชัน และแอปพลิเคชันเวอร์ชันใหม่จากเซิร์ฟเวอร์อัปเดตของ Kaspersky และติดตั้งลงในคอมพิวเตอร์ของคุณ

หมายเหตุ: จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เพื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์อัปเดตและดาวน์โหลดอัปเดต

ดาวน์โหลดอัปเดตฐานข้อมูลแอปพลิเคชันได้ด้วยวิธีการดังนี้:

  • แบบอัตโนมัติ แอปพลิเคชัน Kaspersky ตรวจสอบเซิร์ฟเวอร์อัปเดตของ Kaspersky เป็นประจำ หากมีอัปเดตใหม่ในเซิร์ฟเวอร์อัปเดต แอปพลิเคชันจะดาวน์โหลดอัปเดตนี้ในเบื้องหลังแล้วติดตั้งลงในคอมพิวเตอร์ของคุณ ตัวเลือกนี้เปิดใช้งานตามค่าเริ่มต้น
  • ด้วยตนเอง คุณสามารถตรวจสอบอัปเดตของแอปพลิเคชัน Kaspersky ด้วยตนเองได้ทุกเวลา

เปิดใช้งาน/ปิดใช้งานการดาวน์โหลดการอัปเดตฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน Kaspersky อัตโนมัติ

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. ในแท็บอัปเดต ในส่วนฐานข้อมูล ให้เลือก/ยกเลิกการเลือกช่องทำเครื่องหมายดาวน์โหลดอัปเดตอัตโนมัติ

ตรวจสอบอัปเดตฐานข้อมูลแอปพลิเคชัน Kaspersky

  1. บนแถบด้านข้างของ หน้าต่างแอปพลิเคชันหลัก ให้คลิก การอัปเดตฐานข้อมูล

    หน้าต่าง การอัปเดตฐานข้อมูล จะเปิดขึ้นมา

  2. คลิก อัปเดต

แอปพลิเคชันกำลังเริ่มต้นอัปเดตฐานข้อมูล

คุณยังสามารถเริ่มต้นการอัปเดตได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้:

  • คลิกที่ไอคอนแอปพลิเคชันแล้วเลือกอัปเดตฐานข้อมูล
  • ในแถบเมนู ให้เลือกการป้องกัน > อัปเดตฐานข้อมูล

คุณสามารถเรียกใช้การอัปเดตแอปพลิเคชันได้ที่ My Kaspersky สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอัปเดตแอปพลิเคชันบน My Kaspersky โปรดดูที่ความช่วยเหลือ My Kaspersky

คุณสามารถเลือกติดตั้งแอปพลิเคชันเวอร์ชันใหม่ได้โดยอัตโนมัติ รับการแจ้งเตือนเมื่อมีเวอร์ชันใหม่หรือยกเลิกการติดตั้งเวอร์ชันใหม่

เลือกการดำเนินการเมื่อแอปพลิเคชันเวอร์ชันใหม่พร้อมใช้งาน

  1. ในแถบเมนู คลิกไอคอนแอปพลิเคชัน และเลือก การตั้งค่า

    หน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้น

  2. บนแท็บ อัปเดต ในส่วน เวอร์ชันใหม่ เลือกการดำเนินการของแอปพลิเคชัน Kaspersky เมื่อมีแอปพลิเคชันเวอร์ชันที่ใหม่กว่าพร้อมใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์อัปเดตของ Kaspersky

ตรวจค้นหาแอปพลิเคชันเวอร์ชันใหม่ได้ด้วยตนเอง

  1. ในแถบเมนู ให้เลือก Kaspersky> ตรวจสอบเวอร์ชันใหม่

    สถานะการป้องกันเปิดขึ้น ถ้าแอปพลิเคชันเวอร์ชันใหม่สามารถเข้าถึงได้แล้วบนเซิร์ฟเวอร์อัปเดตของ Kaspersky จะมีปุ่ม ดาวน์โหลด ปรากฏขึ้น

  2. คลิก ดาวน์โหลด

    เมื่อแอปพลิเคชันดาวน์โหลดเวอร์ชันล่าสุดแล้ว ปุ่ม ดาวน์โหลด จะกลายเป็น ติดตั้ง

  3. คลิก ติดตั้ง

ตัวช่วยติดตั้งจะเปิดขึ้นมา ทำตามขั้นตอนของตัวช่วยติดตั้งเพื่อติดตั้งแอปพลิเคชัน Kaspersky เวอร์ชันใหม่

นอกจากนี้ คุณยังสามารถตรวจหาแอปพลิเคชัน Kaspersky เวอร์ชันใหม่ได้โดยการคลิกที่ตรวจสอบเวอร์ชันใหม่บนแท็บอัปเดตของหน้าต่างการตั้งค่าแอปพลิเคชัน

ระหว่างการอัปเดต เวอร์ชันและฐานข้อมูลแอปพลิเคชันจะถูกเปรียบเทียบกับรุ่นที่ปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้บนเซิร์ฟเวอร์อัปเดต หากฐานข้อมูลเวอร์ชันล่าสุดติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว หน้าต่าง อัปเดต จะแสดงข้อความบอกว่าทำการอัปเดตฐานข้อมูลแอปพลิเคชันให้แล้วเรียบร้อย หากฐานข้อมูลแอปพลิเคชันแตกต่างจากรุ่นที่ปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้บนเซิร์ฟเวอร์อัปเดต จะทำการดาวน์โหลดและติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ของคุณเฉพาะส่วนประกอบการอัปเดตที่ขาดไปเท่านั้น อัปเดตส่วนที่เพิ่มขึ้นของฐานข้อมูลแอปพลิเคชันจะใช้เวลาและการเข้าชมเว็บน้อยลง

แอปพลิเคชัน Kaspersky จัดทำรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการอัปเดตในหน้าต่าง รายงาน

อ่านรายงานการอัปเดต

  1. ในแถบเมนูเลือก การป้องกัน > รายงาน
  2. หน้าต่าง รายงาน จะปิดขึ้น
  3. เปิดแท็บการอัปเดตฐานข้อมูล
ด้านบนของหน้า
[Topic 58397]